วันเสาร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2566

***** นิทานพื้นบ้านจากตำนานฐานถิ่นไทย(ของภาคต่างๆ)********

 

                                        ข้อมูลพื้นฐานของภาคอีสาน

        ภาคอีสาน หรือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตั้งอยู่บนที่ราบสูงโคราช มีแม่น้ำโขงกั้นเขตทางตอนเหนือ และตะวันออกของภาค โดยทางด้านใต้จรดชายแดนกัมพูชา ทางตะวันตกมีเทือกเขาเพชรบูรณ์ และเทือกเขาดงพญาเย็นเป็นแนวกั้นแยกจากภาคเหนือ และภาคกลาง ซึ่งเทือกเขาที่สูงที่สุดในภาคอีสานคือ ยอดภูกระดึง ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำสายสำคัญของชาวอีสาน เช่น ลำตะคอง แม่น้ำชี และแม่น้ำมูลอีสาน มีเนื้อที่ประมาณ 170,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเทียบได้กับหนี่งในสามของพื้นที่ทั้งหมดของประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วยจังหวัดต่าง ๆ กว่า  20 จังหวัด

ประเพณีและวัฒนธรรมที่สำคัญของภาคอีสาน

        อีสานมีความจำกัดในทรัพยากรธรรมชาติ จากสภาพอากาศแห้งแล้งในหน้าแล้ง น้ำจะท่วมสองฝั่งลำน้ำ ทำให้ประชากรส่วนใหญ่อาศัยอยู่ตามที่เนินไม่ไกลจากแม่น้ำ สะท้อนถึงภูมิปัญญาในการตั้งถิ่นฐาน และการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม พื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเดิมนั้นเคยอยู่ในเขตอิทธิพลอารยธรรมจากขอม และเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของคนไทย-ลาว กลุ่มต่าง ๆ ซึ่งทำให้มีการผสมผสานวัฒนธรรมที่หลากหลายเข้าด้วยกัน และสั่งสมสืบทอดต่อกันมาเป็นวัฒนธรรมอีสานที่มีลักษณะ เฉพาะตัวและน่าสนใจ

นิทานพื้นบ้านของภาคอีสาน

                                                            ๑.นิทานเรื่องแก้วหน้าม้า

        กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเมืองอยู่เมืองหนึ่งชื่อว่า “มิถิลา” เมืองนี้ปกครองโดยกษัตริย์ทรงพระนามว่า “ภูวดลมงคลราช” พระองค์มีพระมเหสีทรงพระนามว่า “พระนางนันทา” ทั้งสองพระองค์ มีพระโอรสทรงพระนามว่า “ปิ่นทอง” พระนครเจริญรุ่งเรืองและสงบสุข ส่วนนางแก้วหน้าม้าเป็นธิดาสามัญชนชาวเมืองมิถิลา เหตุที่นางมีชื่อเช่นนี้เพราะก่อนตั้งครรภ์ผู้เป็นมารดาได้ฝันว่าเทวดานำแก้วมาให้ พอให้กำเนิดบุตรสาวเลยตั้งชื่อว่า “แก้ว” แต่เนื่องจากใบหน้าเหมือนม้า ชาวบ้านเรียกว่า “นางแก้วหน้าม้า” นางแก้วนั้นวัยไล่เลี่ยกับพระปิ่นทอง พระโอรสเมืองมิถิลา พระปิ่นทองนั้นมีรูปลักษณ์ที่สวยอย่างชายชาตรี มีญาณวิเศษสามารถล่วงรู้ลมฝนจึงเป็นที่รักใคร่ของชาวบ้าน มีวันหนึ่งพระปิ่นทองได้มาขออนุญาติพระบิดากับพระมารดาออกไปเล่นว่าวที่ทุ่ง พระบิดามารดาก็ได้อนุญาต พระปิ่นทองได้ออกมาเล่นว่าวซึ่งลมแรงมาก ว่าวของพระปิ่นทองได้หลุดมือและปลิวไปไกลทำให้ทหารที่มากับพระปิ่นทองวิ่งตามว่าว ซึ่งนางแก้วเก็บว่าวจุฬาได้และดีใจจะเก็บไว้เล่นเอง เมื่อพระปิ่นตามมาขอว่าวคืน นางแก้วขอสัญญากับพระโอรสว่าต้องมารับนางเข้าวังไปเป็นมเหสี พระปิ่นได้ยินแก้วพูดก็ทรงโกรธมากและคิดว่าหญิงผู้นี้พูดจาโยกโย้น่ารำคาญ พระองค์เกลียดนางยิ่งนักเมื่อเห็นนางมีใบหน้าที่ประหลาด แต่ก็ได้รับปากเพียงเพราะหวังอยากได้ว่าวคืนรออยู่หลายวันไม่เห็นพระปิ่นทองมารับ นางแก้วจึงเล่าเรื่องให้พ่อกับแม่ฟังและขอให้ไปทวงสัญญา เมื่อพ่อแม่ไปทวงสัญญากับพระปิ่น ท้าวภูวดลกริ้วตรัสให้นำตัวไปประหาร แต่พระนางนันทาได้ทัดทานพร้อมเรียกพระโอรสมาสอบถาม พระปิ่นทองยอมรับว่าสัญญาจะให้มาอยู่กับสุนัข เมื่อพระปิ่นทองสัญญาแล้ว พระนางนันทาสั่งให้ไปรับตัวนางแก้วมาอยู่ในวัง ครั้งไม่มีวอทองมารับสมกับตำแหน่งมเหสี นางแก้วก็ไม่ยอมไป จนในที่สุดนางแก้วได้นั่งในวอทอง พร้อมกับแต่งตัวสวยพริ้ง พอมาถึงวังหลวง ท้าวภูวดลกับพระปิ่นทองเห็นนางแก้วรูปร่างหน้าตาน่าเกลียด กริยามารยาทกระโดกกระเดกก็ทนไม่ได้ คิดหาทางกำจัดนางแก้ว แต่พระนางนันทานึกเอ็นดู นางแก้วเข้าวังมาไม่นาน ท้าวภูวดลกับพระปิ่นทองหาทางกำจัดนางแก้ว โดยให้นางแก้วไปยกเขาพระสุเมรุมาไว้ในเมืองภายใน 7 วัน หากทำไม่สำเร็จจะต้องได้รับโทษประหาร แต่ถ้าทำได้จะจัดพิธีอภิเษกสมรสกับพระปิ่นทอง นางแก้วออกไปตามป่า เสี่ยงสัตย์อธิษฐานกับเหล่าทวยเทพว่าหากตนเป็นเนื้อคู่ของพระปิ่นทอง ขอให้พบเขาพระสุเมรุ เดินทางต่อไปอีกสามวัน พบพระฤาษีรีบเข้าไปกราบและเล่าเรื่องราวทั้งหมด พระฤาษีมีใจเมตตาจึงช่วยถอดหน้าม้าออกให้ นางแก้วกลายเป็นหญิงที่งดงามโสภา แล้วเสกหนังสือเป็นเรือเหาะให้ลำหนึ่งพร้อมมอบอีโต้ไว้เป็นอาวุธ นางแก้วจึงสามารถไปยกเขาพระสุเมรุมาถวายท้าวภูวดลได้สำเร็จ ส่วนท้าวภูวดลพยายามหาหนทางที่จะเลี่ยงคำสัญญาที่มีต่อนางแก้ว จึงมอบให้พระปิ่นทองเดินทางไปอภิเษกกับ “เจ้าหญิงทัศมาลี” ราชธิดาของท้าวพรหมทัต ก่อนเดินทางไปพระปิ่นทองกล่าวว่า ถ้ากลับมานางแก้วยังไม่มีลูกจะถูกประหาร นางแก้วนั่งเรือเหาะตามพระปิ่นทองไปแล้วถอดหน้าม้าออก ไปขออาศัยอยู่กับสองตายายในป่า เมื่อพระปิ่นทองผ่านมา นางแก้วก็ไปอาบน้ำที่ท่า พระปิ่นทองเห็นเข้าเกิดหลงรักและไปเกี้ยวพาราณสี จนได้นางแก้วเป็นเมีย ต่อมานางแก้วตั้งครรภ์ พระปิ่นทองต้องการกลับกรุงมิถิลาและได้มอบแหวนให้นางแก้ว เพื่อยืนยันว่าเด็กในท้องนางแก้วเป็นลูกของพระปิ่นทองจริงขณะเดินทางกลับกรุงมิถิลา ระหว่างอยู่ในทะเล เรือสำเภาของพระปิ่นทองถูกมรสุมพัดเข้าไปในถิ่นยักษ์ เมื่อนางแก้วคลอดบุตรชายชื่อว่า “ปิ่นแก้ว” ก็คิดจะพาลูกกลับไปหาพระปิ่นทอง โดยได้แวะไปลาพระฤาษี พระฤาษีบอกนางแก้วว่า พระปิ่นทองอยู่ในอันตราย นางแก้วฝากลูกไว้กับพระฤาษีแล้วแปลงร่างเป็นผู้ชายขึ้นเรือเหาะไปรบกับท้าวพาลราช เจ้าเมืองยักษ์จนได้รับชัยชนะ นางแก้วในร่างชายหนุ่ม จึงเชิญพระปิ่นทองให้ครองเมืองยักษ์ และตนขอเพียง”นางสร้อยสุวรรณ” และ “นางจันทา” ธิดายักษ์ทั้งสองตนไปเป็นชายา นางแก้วพาสองธิดายักษ์ไปหาพระฤาษีแล้วเล่าเรื่องราวให้ฟังพร้อมถอดรูปให้ดู สองธิดายักษ์รับปากว่าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ นางแก้วจึงพาสองธิดายักษ์มามอบให้พระปิ่นทอง ต่อมาพระปิ่นทองเดินทางกลับเมืองมิถิลาพร้อมกับสองธิดายักษ์ นางแก้วได้พาลูกกลับมาเฝ้า พระปิ่นทอง ท้าวภูวดล พระนางนันทา นางสร้อยสุวรรณ และนางจันทา พร้อมกับกราบทูลว่าพระปิ่นแก้วเป็นพระโอรสของพระปิ่นทองกับนางแก้ว พระปิ่นอนงกับท้าวภูวดลไม่เชื่อ นางแก้วเลยมอบแหวนที่พระปิ่นทองเคยมอบให้ในร่างนางมณีรัตนา นางสร้อยสุวรรณและนางจันทาช่วยกันเลี้ยงดูพระปิ่นแก้ว ส่วนพระปิ่นทองนั้นก็ยังคงสงสัยว่าตนไปมีลูกกับนางแก้วตั้งแต่เมื่อไร่ เจ้าหญิงทัศมาลีคิดถึงพระปิ่นทองจึงเดินทางมาหาพระปิ่นทอง เมื่อเดินทางมาพบพระปิ่นทองแล้วเกิดการหึงหวงกับนางสร้อยสุวรรณและนางจันทาสองธิดายักษ์ จนมีเรื่องทะเลาะวิวาท โดยนางแก้วเข้าช่วยเหลือ นางทัศมาลีเห็นว่าสู้ไม่ได้ จึงหนีกลับเมือง ต่อมาเจ้าหญิงทัศมาลีได้ให้กำเนิดพระโอรส ตั้งชื่อว่า “เจ้าชายปิ่นศิลป์ไชย”“ท้าวกายมาต” ยักษ์ผู้ครองนครไกรจักร เป็นญาติของท้าวพาลราชซึ่งถูกแก้วสังหาร และนางสร้อยสุวรรณกับนางจันทากลายเป็นชายาของพระปิ่นทอง ก็เกิดแค้นใจยกทัพมาที่เมืองมิถิลา พระปิ่นทองไม่ชำนาญการรบ นางสร้อยสุวรรณและนางจันทาแนะว่าให้ไปขอความช่วยเหลือจากนางแก้วหน้าม้า พร้อมบอกใบ้ให้รู้ความจริงทั้งหมดเมื่อพระปิ่นทองรู้ความจริงทั้งหมด ก็ได้รีบตามไปง้อขอคืนดีกับนางแก้ว นางแก้วยอมช่วยรบเพราะเห็นแก่พระนางนันทา โดยแปลงร่างเป็นชายหนุ่มถืออีโต้ไปเฝ้าพระปิ่นทองโดยบอกว่าพี่แก้วให้มาช่วย นางแก้วไม่สามารถทำอะไรท้าวประกายมาตได้ เพราะท้าวประกายมาตมีฤทธิ์รักษาแผลได้ นางแก้วจึงขี่เรือเหาะข้ามศีรษะท้าวประกายมาต ทำให้มนต์เสื่อม จึงสามารถจัดการได้ พอชนะศึกแก้วในร่างของชายหนุ่มขอลากลับทันที พระปิ่นทองจึงมั่นใจว่าต้องเป็นนางแก้วแน่นอน จึงตามไปหาที่ห้องกล่าวง้องอน นางแก้วหน้าม้าก็ทำเป็นเล่นตัว พระปิ่นทองแกล้งทำทีเชือดคอตาย นางแก้วจึงยอมใจอ่อนถอดหน้าม้าออก เมื่อความทราบถึงท้าวภูวดลและนางนันทาก็ดีพระทัย จึงจัดพิธีอภิเษกสมรสให้นางแก้วเป็นมเหสีของปิ่นทองอย่างเอิกเกริก พร้อมทั้งกับนางแก้วได้ชื่อใหม่ว่า “นางมณีรัตนา” นางแก้วจึงให้คนไปรับพ่อกับแม่มาลี้ยงดูอย่างมีความสุขในวัง ต่อมาไม่นานนางแก้วก็ตั้งครรภ์อีกครั้ง แล้วได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

ข้อคิดที่ได้จากนิทานเรื่องนี้

อย่ามองคนแค่เพียงภายนอก ”คนดี”  ไม่ใช่ดูที่รูปร่างหน้าตาแต่ ”ดูที่นิสัยและจิตใจ”

 



                                                         ๒.นิทานเรื่องกำพร้าผีน้อย

        ขณะที่รอการเก็บเกี่ยวข้าว ท้าวกำพร้าได้ออกขอทานตามปกติ ตากวานบ้านประหลาดใจที่ท้าวกำพร้าไม่ตาย จึงคิดกลั่นแกล้งอีก โดยนำข้าวบ้วนปากมาบริจาคทานเป็นจำนวนมาก ท้าวกำพร้าจึงนำไปนึ่ง แต่ปรากฏว่าข้าวบ้วนปากของตากวานบ้านส่งกลิ่นหอมอบอวล ทำให้ผีทั้งหลายได้กลิ่นพากันมาขอแบ่งกิน ผลการกินข้าวบ้วนปาก ทำให้ท้าวกำพร้ามองเห็นภูตผีทั้งหลายได้วันหนึ่งท้าวกำพร้านำไซไปดักปลา แต่ไม่มีปลาติดเพราะผีน้อยขโมยกินหมด ท้าวกำพร้าจึงนำเรื่องนี้ไปปรึกษาผีย่าง่าม ผีย่าง่ามจึงเอาไหมของตน (ขนเพชร) ให้ท้าวกำพร้านำไปทำบ่วงดักไว้ ในที่สุดผีน้อยก็ติดบ่วง ได้ร้องขอชีวิตต่อท้าวกำพร้า  ท้าวกำพร้าจึงได้ปล่อยไป ต่อมาก็มีสัตว์อื่นๆ มาติดบ่วงสายไหมที่ท้าวกำพร้าดักไว้อีกเช่น เสือ อีเห็น ช้างน้ำ และนาค ซึ่งสัตว์ทุกชนิดร้องขอชีวิตและยอมเป็นทาสรับใช้ท้าวกำพร้า ส่วนพญาช้างน้ำได้มอบงาทั้งสองข้างและแก้วมณีให้แก่ท้าวกำพร้า ซึ่งในงาช้างนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งชื่อนางสีดาอาศัยอยู่ นางได้ออกมาทำอาหารไว้ให้ทุกครั้งที่ท้าวกำพร้าไม่อยู่บ้าน จนท้าวกำพร้าเกิดความสงสัยจึงแอบดูและรู้ความจริง ท้าวกำพร้าได้ทุบงาช้างนั้นเสีย เพื่อไม่ให้นางเข้าไปอยู่ในงาช้างนั้นอีก และทั้งสองได้แต่งงานกัน ท้าวกำพร้าไม่ได้ไปขอทานในหมู่บ้านเป็นเวลาหลายวัน ชาวบ้านจึงเกิดความสงสัย พากันไปแอบดูที่กระท่อม เมื่อได้เห็นนางสีดาซึ่งมีรูปโฉมงดงาม ต่างพากันตกตะลึงและโจษขานกันไป จนทราบไปถึงพระยาพิมพ์ทองเจ้าเมืองอินทปัตถ์ ผู้มีใจพาล  จึงคิดอยากได้นางสีดาเป็นมเหสี ได้ท้าพนันท้าวกำพร้าแข่งขันหลายอย่าง โดยมีเดิมพันว่าถ้าท้าวกำพร้าแพ้จะยึดนางสีดา แต่ถ้าท้าวอินทปัตถ์แพ้จะยอมยกเมืองให้ครึ่งหนึ่งเมื่อแข่งขันชนไก่ ชนควาย และชนช้าง  ท้าวกำพร้าเป็นฝ่ายชนะทุกครั้ง ทั้งนี้เพราะได้รับความช่วยเหลือจากนางสีดาภรรยาของท้าวกำพร้าที่ใช้แก้วมณีเรียกสัตว์ต่างๆ ซึ่งยอมเป็นทาสท้าวกำพร้ามาให้ความช่วยเหลือ เมื่อชนไก่ ควาย และช้างของเจ้าเมืองตาย  พระองค์ได้บังคับให้ท้าวกำพร้ากินสัตว์เหล่านั้นเสียให้หมด พญาฮุ่ง(รุ้ง) หรือนาค แปลงตัวเป็นท้าวกำพร้ามากินสัตว์ทั้งสามที่ตายไปให้หมด ทำให้เจ้าเมืองโกรธแค้นท้าวกำพร้ายิ่งขึ้น จึงได้ท้าแข่งเรือกับท้าวกำพร้า พญานาคได้แปลงกายมาเป็นเรือ ช่วยเหลือท้าวกำพร้าอีก แล้วฟาดน้ำถูกเรือของเจ้าเมืองล่ม ในที่สุดเจ้าเมืองผู้ไร้สัจจะก็จมน้ำตาย เจ้าเมืองได้ไปเกิดเป็นผีแถน แต่มีใจเสน่หานางสีดา และเจ็บแค้นที่ไม่สามารถเอาชนะท้าวกำพร้าได้ จึงวางแผนร่วมกับบ่างลั่วตัวหนึ่งให้ไปร้องเรียกเอาวิญญาณนางสีดา เมื่อขวัญออกจากร่างนางสีดาก็สิ้นชีวิต ผีน้อยแนะนำไม่ให้เผาร่างของนางและอาสาจะพาวิญญาณของนางสีดาคืนมาให้ได้ จึงไปพบพญาแถนแล้วซ่อนข้องไปด้วย ต่อมาวิญญาณของนางสีดาได้ไปอยู่กับพญาแถน ทำให้พญาแถนดีใจมากให้รางวัลแก่บ่างลั่ว และได้เลี้ยงสุราจนบ่างลั่วเมาไม่ได้สติ ผีน้อยจึงอาสาพาบ่างลั่วไปส่งถึงบ้าน ระหว่างทางผีน้อยได้หลอกให้บ่างลั่วเข้าไปนอนในข้อง บ่างลั่วรู้เท่าไม่ถึงการณ์จึงทำตามผีน้อยรีบปิดผาข้องแล้วนำมาให้ท้าวกำพร้า ผีน้อยได้บังคับให้บ่างลั่วเรียกเอาวิญญาณนางสีดากลับมา เมื่อนางสีดาได้ฟื้นคืนดังเดิมแล้ว ผีน้อยจึงหลอกให้บ่างลั่วแลบลิ้นที่เคยใช้เอาวิญญาณคนมาเป็นจำนวนมาก แล้วตัดลิ้นบ่างลั่วเสีย เพราะเกรงว่ามันจะร้องเรียกเอาวิญญาณคนไปอีก นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาบ่างลั่วจึงร้องได้ไม่ชัดเจนเมื่อเจ้าเมืองอินทปัตถ์สิ้นชีพไปแล้ว ชาวเมืองจึงเชิญท้าวกำพร้าและนางสีดาผู้เป็นภรรยาปกครองบ้านเมืองสืบต่อมา ทั้งนี้เพราะความดีของท้าวกำพร้าและนางสีดาจึงปกครองบ้านเมือง

ข้อคิดที่ได้จากนิทานเรื่องนี้

คนดีผีคุ้ม

 


 


                                                       ๓.นิทานเรื่องนางหมาขาว

        มีสองผัวเมียอาศัยอยู่ในหมู่บ้านจันทคาม ซึ่งฝ่ายเป็นเมียนั้นได้ท้องแก่จวนคลอดแล้ว แต่ในตอนนั้นเกิดโรคระบาด ผู้คนล้มตายเป็นอันมาก สองผัวเมียจึงชวนกันอพยพหนีจากหมู่บ้านมาอยู่กลางป่า แล้วต่อมาเมียก็คลอดลูกออกมาเป็นลูกแฝดเป็นผู้หญิงสองคน แล้วนางก็สิ้นใจตายไป ส่วนสามีอยู่มาไม่นานก็ตรอมใจตายตามไป ปล่อยให้เด็กทารกเกิดใหม่ทั้งสองร้องไห้อยู่ในป่าเช่นนั้นต่อมามีหมาขาวตัวหนึ่งเป็นตัวเมียออกมาหากิน มาเห็นเด็กทั้งสองก็เกิดสงสารจึงเอาไปเลี้ยงเป็นลูกกลายเป็น “แม่หมาขาว” ให้กินนมของตัวเองและหาอาหารให้กินเลี้ยงจนเติบโตมาเป็นสาว ทุกวันนางหมาขาวตัวนี้จะพาลูกสาวทั้งสองออกไปหากินในป่าด้วยในวันหนึ่งเกิดพายุพัดให้นางหมาขาวต้องพลัดพรากจากลูกไป ลูกสาวทั้งสองก็โดนลมพัดไปถึงเขตบ้านนายพราน เมื่อนายพรานเห็นหญิงสาวทั้งสองงดงามมาก อยากได้รางวัลจึงนำหญิงสาวทั้งสองขึ้นถวายแก่พระราชาซึ่งยังโสดอยู่ พระราชามีพระอนุชาซึ่งยังโสดเหมือนกัน ฝ่ายพระราชาก็ได้ผู้พี่เป็นมเหสี ฝ่ายอนุชาก็รับผู้น้องเป็นชายาขณะนั้นแม่นางหมาขาวซึ่งพลัดพรากจากลูกมาเป็นเวลานาน ก็ได้แต่ร่ำไห้คิดถึงลูกและออกติดตามหาลูก จนได้ยินข่าวว่านายพรานเป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูลูกสาวต่อจากตน จึงมาหานายพรานเพื่อถามหาลูกสาวและได้เล่าว่าเหตุการณ์เป็นมาอย่างไร  เมื่อนายพรานทราบก็เกิดความสงสาร บอกบอกความจริงและพานางหมาขาวไปหาลูกสาวที่ในวังเมื่อพามาถึงพระราชวังนายพรานก็ทูลพระราชาตามความจริง แต่พระมเหสีนั้นอับอายขายหน้า เกรงว่าคนจะรู้ว่าตนเป็นลูกของหมาขาว จึงทูลเท็จต่อพระสวามีไปว่า”ไม่เป็นความจริง” พร้อมทั้งขับไล่นายพรานและหมาขาวออกไป แต่นางหมาขาวไม่ยอมไปพร้อมทั้งอธิบายว่าตนคือแม่ของมเหสี ส่วนมเหสีหรือลูกสาวคนโตของนางหมาขาว นางก็ปฎิเสธไม่ยอมรับพร้อมทั้งด่า เตะถีบ ใช้ไม้ทุบตีแม่นางหมาขาวจนนางหมาขาวนอนล้มลง แล้วก็เอาน้ำร้อนๆ ที่ต้มเดือดสาดใส่แม่นางหมาขาวที่นอนเจ็บอยู่ นางหมาขาวได้รับความเจ็บปวดแสนสาหัส นายพรานเห็นท่าไม่ดีจึงรีบนำหมาขาวไปที่วังของลูกสาวคนเล็ก เมื่อลูกสาวคนเล็กเห็นหมาขาวก็จำได้ทันทีว่าเป็นแม่หมาขาวของตน จึงรีบมากอดและอุ้มแม่หมาขาวทันทีและรีบพาไปรักษา แต่นางทนพิษบาดแผลไม่ไหวจึงสิ้นใจตาย ก่อนตายนางบอกว่าห้ามเผาหรือฝัง ให้เก็บกระดูกแม่ไว้บูชาในวัง

ข้อคิดที่ได้จากนิทานเรื่องนี้

จงรู้คุณบุพการี

 




                                                 ๔.นิทานเรื่องตำนานผาแดงนางไอ่

        อดีตกาลผ่านมาใกลโพ้น ยังมีเมืองอยู่เมืองหนึ่งชื่อ นครเอกชะทีตา มีพระยาขอมเป็นกษัตริย์ปกครองเมืองด้วยความร่มเย็น พระยาขอมมีพระธิดา ซึ่งมีพระศิริโฉมงดงามพนะนามว่า นางไอ่คำ ซึ่งเป็นที่รักและ หวงแหนมาก จึงสร้างปราสาท 7 ชั้นให้ อยู่พร้อมเหล่าสนม กำนัล คอยดูแลอย่างดี

         ขณะเดียวกันยังมีเมืองอีกเมืองหนึ่งชื่อ เมืองผาโพง มีเจ้าชายนามว่า ท้าวผาแดง เป็นกษัตริย์ปกครองอยู่ ท้าวผาแดงแห่งเมืองผาโพง ได้ยินกิตติศัพท์ความงามของธิดาไอ่คำมาก่อนแล้ว ใคร่อยากจะเห็นหน้า จึงปลอมตัวเป็นพ่อค้าพเนจร ถึง นครเอกชะทีตา และติดสินบนนางสนมกำนัล ให้นำของขวัญลอบเข้าไปให้นางไอ่คำ ด้วยผลกรรมที่ผูกพันกันมาแต่ชาติปางก่อนนางไอ่คำกับท้าวผาแดง จึงได้มีใจปฏิพัทธ์ต่อกัน จนในที่สุดทั้ง 2 ก็ได้อภิรมย์สมรักกัน   ซึ่งก่อนท้าวผาแดงจะจากไป เพื่อจัดขบวนขันหมากมาสู่ขอ ทั้ง 2 ได้คร่ำครวญต่อกันด้วยความอาลัยยิ่ง วันเวลาผ่านไปถึงเดือน 6 เป็นประเพณีแต่โบราณของเมืองเอกชะทีตา จะต้องมีการทำบุญบั้งไฟบูชาพญาแถนระยาขอม จึงได้ประกาศบอก ไปตามหัวเมืองต่างๆ ว่า บุญบั้งไฟปีนี้จะเป็นการหาผู้ที่จะมาเป็นลูกเขยอีกด้วย ขอให้เจ้าชายหัวเมืองต่างๆ จัดทำบั้งไฟมาจุดแข่งขันกัน ผู้ใดชนะก็จะได้อภิเษกกับพระธิดาไอ่คำด้วย ข่าวนี้ได้ร่ำลือไปทั่วสารทิศ ทุกเมืองในขอบเขตแว่นแคว้นต่างก็ส่งบั้งไฟเข้ามาแข่งขัน เช่น เมืองฟ้าแดดสูงยาง เมืองเชียงเหียน เชียงทอง แม้กระทั่งพญานาคใต้เมืองบาดาลก็อดใจไม่ไหว ปลอมตัวเป็นกระรอกเผือกมาดูโฉมงาม นางไอ่คำด้วยในวันงานบุญบั้งไฟ   เมื่อถึงวันแข่งขันจุดบั้งไฟ ปรากฏว่า บั้งไฟท้าวผาแดงจุดไม่ขึ้นพ่นควันดำอยู่ถึง 3 วัน 3 คืน จึงระเบิดแตกออกเป็นเสี่ยงๆทำให้ความหวังท้าวผาแดงหมดสิ้นลง ขณะเดียวกัน ท้าวพังคีพญานาค ที่ปลอมเป็นกระรอกเผือก มีกระดิ่งผูกคอน่ารัก มาไต่เต้นไปมาอยู่บนยอดไม้ ข้างปราสาทนางไอ่คำ ก็ปรากฏร่างให้นางไอ่คำเห็น นางจึงคิดอยากได้มาเลี้ยง แต่แล้วก็จับไม่ได้ จึงบอกให้นายพราน ยิงเอาตัวตายมา ในที่สุดกระรอกเผือกพังคีก็ถูกยิงด้วยลูกดอกจนตาย ก่อนตายท้าวพังคีได้อธิษฐานไว้ว่า ขอให้เนื้อของข้าได้แปดพันเกวียน คนทั้งเมืองอย่าได้กินหมดเกลี้ยง จากนั้นร่างของกระรอกเผือกก็ใหญ่ขึ้น จนผู้คนแตกตื่นมาดูกัน และจัดการแล่เนื้อแบ่งกันไปกินทั่วเมืองด้วยว่าเป็นอาหาร ทิพย์ ยกเว้นแต่พวกแม่ม่ายที่ชาวเมืองรังเกียจ ไม่แบ่งเนื้อกระรอกให้ พญานาคแห่งเมืองบาดาลทราบข่าวท้าวพังคีถูกมนุษย์ฆ่าตาย แล่เนื้อไปกินกันทั้งเมือง จึงโกธรแค้นยิ่งนัก ดึกสงัดของคืนนั้นขณะที่ชาวเมืองชะทีตากำลังหลับไหล เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ท้องฟ้าอื้ออึงไปด้วยพายุฝนฟ้า กระหน่ำลงมาอย่างหนัก ฟ้าแลบอยู่มิได้ขาด แผ่นดินเริ่มถล่มยุบตัวลงไปทีละน้อย ท่ามกลางเสียงหวีดร้องของผู้คนที่วิ่งหนีตาย เหล่าพญานาคผุดขึ้นมานับหมื่น นับแสนตัว ถล่มเมืองชะทีตาจมลงใต้บาดาลทันที คงเหลือไว้เป็นดอน 3 4 แห่ง ซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกแม่ม่ายไม่ได้กินเนื้อกระรอกเผือกจึงรอดตาย ฝ่ายท้าวผาแดงได้โอกาสรีบควบม้าหนีออกจากเมือง โดยไม่ลืมแวะรับพระธิดาไอ่คำไปด้วย แต่แม้จะเร่งฝีเท้า ม้าเท่าใดก็หนีไม่พ้นทัพพญานาคที่ทำให้แผ่นดินถล่มตามมาติดๆ ในที่สุดก็กลืนท้าวผาแดงและพระธิดาไอ่คำพร้อมม้าแสนรู้ชื่อ บักสาม จมหายไปใต้พื้นดิน

         รุ่งเช้าภาพของเมืองเอกชะทีตาที่เคยรุ่งเรืองโอฬาร ก็อันตธานหายไปสิ้น คงเห็นพื้นน้ำกว้างยาวสุดตา ทุกชีวิตในเมืองเอกชะทีตาจมสู่ใต้บาดาลจนหมดสิ้น เหลือไว้แต่แม่ม่ายบนเกาะร้าง 3 4 แห่ง ในผืนน้ำอันกว้างนี้ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นหนองหานหลวง ดังปรากฏในปัจจุบัน


ข้อคิดที่ได้จากนิทานเรื่องนี้

 เวรย่อมระงับด้วยความไม่จองเวร

ควรมีคติประจำใจ คือ ความไม่โลภ ความไม่โกรธ และ ความไม่หลง

 




 

                                                               ๕.นิทานเรื่องท้าวก่ำกาดำ

        กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในเมืองอินทปัตย์ มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง หลังจากอยู่กินร่วมชีวิตกันมาเป็นเวลานานหลายปี แต่หาได้มีบุตรไว้สืบสกุลไม่ สามีจึงปรึกษากับภรรยาว่า “แม่นอีนางเอย อ้ายเห็นว่าเฮาก็อยู่ฮ่วมกันมาดนนานหลายปีแล้ว แต่ก็ยังบ่มีวี่แววได้ลูกน้อยจักเทื่อ อ้ายคืออยากมีลูกแท้ล่ะ แล้วน้องคึดจั่งใด๋” สามีถามทิ้งท้าย “คือกันนั่นแหล่วอ้าย การไม่มีลูกก็ส่ำกับขาดคนสืบเชื้อหน่อสายแนนแม่นบ่?” ภรรยาพูดเป็นเชิงถาม “ถ้าจั่งซั้นเฮาไปบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อขอลูกกันดีบ่นาง” สามีชวนเมื่อรู้ว่าภรรยาเห็นดีด้วยที่จะมีบุตร “ไปกะไปอ้าย เผื่อเทวดาฟ้าดินเพิ่นสิเวทนาสองเฮาได้สมใจ” ภรรยาตอบตกลง… เมื่อมีความเห็นตรงกัน และตกลงร่วมกันเช่นนั้น ทั้งสองจึงไปบนบานต่อศาลเทพารักษ์ที่ศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้าน จากนั้นไม่นาน ภรรยาก็ตั้งครรภ์ และคลอดลูกออกมาเป็นลูกชาย แต่... แม้จะมีบุตรสมใจแล้ว แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผู้เป็นมารดามีความสุขเลย เพราะกุมารน้อยที่เกิดมานั้นมีผิวดำเหมือน อีกา จนชาวบ้านเอาไปซุบซิบนินทานางว่า “มันต้องไปสมสู่กับอีกาแน่ๆ ลูกจึงเกิดมาดำอย่างนั้น”… “ข้าว่าในอดีตมันต้องเป็นคนใจดำ อาจทำชั่วมาก่อนจึงได้ลูกดำมากขนาดนั้น” คำพูด คำนินทามีมากขึ้น ยิ่งนานวันการซุบซิบปากต่อมากกระทั่งพูดกันทั่วบ้านทั่วเมือง ทำให้ผู้เป็นมารดารู้สึกอับอาย เมื่อผู้เป็นมารดาก็รู้สึกละอายที่ต้องมีลูกชายรูปชั่วตัวดำ จนนางอดทนไม่ไหวถึงกับเอ่ยปากกับผู้เป็นสามีว่า “อ้ายเอย.. นางคือสิเลี้ยงลูกคนนี้บ่ไหวแล้ว เลี้ยงมันไว้ยิ่งนับวันก็ยิ่งอับอายขายหน้า ผู้คนในหมู่บ้านหาว่าน้องไปสมสู่กับอีกาจึงมีลูกตัวดำปี๋อย่างนี้ บางคนก็บอกว่าชาติก่อนน้องคงใจดำ ทำบ่ดีไว้หลายจนชาตินี้ได้ลูกดำคืออีกา” สามีไม่ปริปากว่าอะไร ได้แต่นั่งคิด ภรรยาเห็นสามีไม่พูดจาจึงปรึกษาว่า “นางว่าเอาลูกเฮาไปลอยแพถิ่มเสียดีบ่อ้าย” เมื่อได้ยินคำว่า “เอาลูกไปทิ้ง” สามีก็เริ่มปริปากพูด “เขาจะพูดกันก็ช่างปะไร แกจะไปเดือดร้อนทำไม ถึงตัวมันดำ ก็มีแขนขาหูตาครบส่วนทุกอย่าง ถึงอย่างไรก็เป็นลูกเรา นี่แกคิดจะลอยแพลูกทิ้งเชียวเหรอ” ผู้เป็นสามีติงอยางไม่เห็นด้วยกับฝ่ายภรรยา เมื่อเห็นสามีไม่เห็นด้วย จึงคิดกลอุบายหาทางกำจัดกุมารน้อยรูปชั่วตัวดำ โดยไปให้สินบนกับโหรทำนายทายทักไปในทางไม่ดี เพื่อให้สามีของนางเชื่อตามนั้น “อย่ากระนั้นเลย ข้าอายคนมาก ข้าต้องหาหาเอาลูกไปทิ้งให้ได้ เมื่อเขาไม่ยอมเราก็ควรหาวิธีอื่น วิธีที่ดีที่สุดก็คือให้โหรช่วยทำนายว่าลูกจะทำภัยพิบัติมาให้ แล้วเขาก็จะเชื่อ” นางวางแผน “อ้าย นางว่าเฮาไปปรึกษาพ่อโหรดีบ่” นางชวนสามี สามีคิดนิดหนึ่งแล้วตอบว่า “เออ…..ก็ดี เพราะโหรเขาจะรู้อนาคตได้ดี” แล้วทั้งสองก็ไปให้โหรทำนาย เมื่อพ่อโหรถูกว่าจ้างติดสินบนไว้แล้ว ดังนั้นเมื่อมาที่บ้านของสามีภรรยา ก็บอกให้นำกุมารน้อยมาไว้ตรงหน้า แล้วถามถึงเดือน/ปี/เกิด/เวลาตกฟาก ซึ่งฝ่ายผู้เป็นภรรยาก็บอกให้โหรทราบทุกประการ ส่วนผู้เป็นสามีคอยนั่งฟังโหรทำนายด้วยใจจดใจจ่อ เพราะเขารักและสงสารลูกชายตัวดำของเขามาก ผู้เป็นบิดาไม่เคยรังเกียจลูกเลย แม้จะเกิดมาตัวดำปี๋เหมือนอีกา หรือเหมือนถ่านก็ตามที ฝ่ายโหรเมื่อได้เวลาเกิดและยามตกฟากของกุมารผิวถ่านแล้ว ก็ทำทีขีดเขียนกระดานเพื่อคำนวณถึงดวงชะตาราษี เขาจึงทำนายไปตามที่ได้รับสินบนตามต้องการของหญิงผู้เป็นแม่… “โอ้… กุมารน้อยตัวดำเกิดมาในฤกษ์เป็นกาลกิณีแท้ๆ จะนำภัยพิบัติมาสู่พ่อแม่ ขืนเลี้ยงไว้มีแต่จะทำให้ทุกข์ยากถึงขนาดพ่อแม่จะอายุสั้น ต้องพรากจากกันเลยทีเดียว กุมารน้อยช่างเกิดมามีกรรมน่าสงสารแท้ๆ” ตอนท้ายโหรแกล้งบีบเสียงให้สมจริงสมจัง

“นี่… พ่อโหรคำนวณไม่ผิดพลาดแน่นะ” ผู้เป็นพ่อสงสัย สงสารและเป็นห่วงลูกชายตัวดำ “รับรองว่าตรวจทานตามวันเวลาเกิด และเวลาตกฟากถูกต้องทุกประการ” โหรยืนยันตามเดิม ผู้เป็นพ่อถึงจะรักและสงสารลูกน้อยตัวดำมากมายเพียงใด ก็มิอาจจะเลี้ยงได้แล้ว คำว่า “ภัยพิบัติ” และ “กาลกิณี” หมายถึงสิ่งชั่วร้ายจะต้องเกิดกับครอบครัว ไหนอายุพ่อแม่จะต้องสั้น ลูกอัปมงคลอย่างนี้คงเลี้ยงไว้ไม่ได้แล้ว กุมารน้อยตัวดำปี๋จึงลูกลอยแพทิ้งให้ลอยไปตามสายน้ำ แล้วแต่บุญกรรมนั่นแล้ว…ร้อนไปถึงเทวดาบนสรวงสวรรค์ที่ทิพยอาสน์เคยอ่อนนุ่ม ก็กลับมาแข็งกระด้างร้อนดังไฟ ท่านจึงสอดส่องลงมายังโลกมนุษย์เบื้องล่าง ก็เห็นกุมารน้อยถูกลอยแพไหลไปตามกระแสน้ำ จึงได้ดลบันดาลให้แพลอยไปเกยตื้นใกล้กับอุทยานของพระราชา บ่ายวันนั้น ย่าจำสวน (คนเฝ้าอุทยานของพระราชา) ลงมาอาบน้ำที่ท่าน้ำ ได้พบแพลอยน้ำใกล้เข้ามา ครั้นย่าจำสวนเพ่งมองลงไปในแพ เห็นกุมารน้อยตัวดำนอนดินกระแด่วอยู่ก็ดีใจ เพราะตัวเองก็ยังไม่มีลูก ทั้งที่อยู่กินกับสามีมาหลายปีแล้ว “โอ้…เจ้านี่เกิดมาตัวดำ ดำเหมือนอีกา แม่จะเลี้ยงเจ้าไว้ และจะตั้งชื่อให้นะ”… ย่าจำสวนนั่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ควรจะตั้งชื่ออย่างไรจึงจะสมรูปสมร่าง ในที่สุดก็คิดได้จึงร้องออกมาว่า…. “เออ…ข้าคิดออกแล้ว เจ้าเกิดมาตัวดำ ดำเหมือนกา ดำเหมือนถ่าน ชื่อว่า “ท้าวก่ำกาดำ” ก็แล้วกัน” ท้าวก่ำกาดำเจริญเติบโตขึ้นมา เพราะคนเฝ้าอุทยานของพระราชาเลี้ยงดู จนกลายเป็นหนุ่มใหญ่ เขาเป็นคนขยันขันแข็ง ช่วยงานปลูกต้นไม้ ดูแลต้นไม้ในอุทยานอย่างเอาใจใส่ จนต้นไม้ในอุทยานไม่ว่าจะเป็นไม้ดอกไม้ผลก็ออกดอกติดผลจนกิ่งห้อยระดิน ท้าวก่ำกาดำจึงเป็นที่รักใคร่ของครอบครัวคนเฝ้าอุทยานของพระราชยิ่งนัก… วันหนึ่ง พระธิดาทั้งเจ็ดของพระราชาเสด็จมาชมสวนพร้อมสาวสนมในวัง ท้าวก่ำกาดำแอบดูความสวยงามของพระธิดาทั้งเจ็ด ซึ่งแต่ละนางล้วนมีความสวยงามมิได้ยิ่งหย่อนกว่ากัน แต่ท้าวก่ำกาดำมีความสนใจในพระธิดาน้องนุชสุดท้องคนที่เจ็ด มีชื่อว่า “นางลุน” ท้าวก่ำกาดำนั้นมีความสามารถหลายอย่าง ตั้งแต่การดูแลปลูกต้นไม้ให้เจริญงอกงาม การร้อยมาลัยดอกไม้ (ตามที่ย่าจำสวน แม่เลี้ยงของเขาสอนมาแต่เด็ก) และอีกอย่างหนึ่ง คือ ความสามารถในการเป่า แคน ได้ไพเราะเพราะพริ้งมาก หากใครได้ยินเสียงแคนของท้าวก่ำกาดำก็จะหลงใหลจนลืมตัว  หลังจากแอบดูนางลุนในวันนั้น เขาก็เลยอาสาร้อยพวงมาลัยดอกไม้สด เป็นรูปหนุ่มชมเชยสาว บรรยายในความรักที่มีต่อนางลุน แล้วให้ย่าจำสวนนำไปถวายนางลุนในวัง นางลุนได้รับพวงมาลัยบรรยายเป็นความรัก จึงเกิดความหลงใหลใคร่อยากเห็นหน้าผู้ร้อยมาลัยมาถวาย ตอนค่ำทุกวัน ท้าวก่ำกาดำจะเป่าแคนให้เสียงแคนลอยตามลมไปจนถึงวัง ครั้นพระราชาได้ฟังเสียงแคนที่ไพเราะ จึงมีรับสั่งให้คนเฝ้าอุทยานนำท้าวก่ำกาดำไปเป่าแคนถวายในวัง จนเป็นที่โปรดปรานของพระราชา หากวันใดพระองค์ไม่ได้ฟังเสียงแคนของท้าวก่ำกาดำ พระองค์จะบรรทมอย่างไรก็ไม่หลับ ดังนั้นท้าวก่ำกาดำจึงต้องเข้าไปเป่าแคนถวายพระราชาในวังทุกค่ำคืน ครั้นเมื่อพระราชาบรรทมหลับด้วยมนต์เสียงแคนของท้าวก่ำกาดำ จึงเป็นโอกาสให้หนุ่มรูปกายดำราวกับอีกาถือโอกาสไปพบกับนางลุน ด้วยความเมตตาของพระอินทร์จึงช่วยให้ท้าวก่ำกาดำถอดรูปเป็นชายหนุ่มรูปงาม และลักลอบได้เสียกับพระธิดาองค์เล็ก คือ นางลุน ท้าวก่ำกาดำได้ขอให้ย่าจำสวนไปสู่ขอนางลุนมาเป็นคู่ชีวิตของตน พระราชาไม่รังเกียจ แต่ก็เรียกค่าสินสอดเป็นเงินทองมากมาย รวมทั้งให้ท้าวก่ำกาดำสร้างสะพานเงิน สะพานทองจากในอุทยานมาจนถึงวังของนางลุน ถ้าท้าวก่ำกาดำทำได้ตามรับสั่ง จึงจะยกธิดานางลุนให้…ท้าวก่ำกาดำเป็นคนมีบุญญาธิการลงมาเกิด เป็นโอรสจากสวรรค์ พระอินทร์จึงลงมาช่วยอีกครั้งหนึ่ง โดยเนรมิตเงินทองสินสอดทองหมั้น พร้อมสร้างสะพานทองจากอุทยานถึงวังของนางลุนได้สมกับความต้องการของพระราชา ท้าวก่ำกาดำจึงได้แต่งงานกับพระธิดานางลุนและอยู่อย่างมีความสุข

 

ข้อคิดที่ได้จากนิทานเรื่องนี้





คุณค่าของคน ไม่ได้อยู่ที่รูปร่างหน้าตา แต่ให้มองที่ความสามารถ ความช่างพูด กตัญญูรู้คุณ



บรรณานุกรม



นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน - นิทานพร้อมภาพประกอบ Nitan Story

https://travel.kapook.com/view47157.html

https://sites.google.com/site/pisineekan48049/page5/page51/page52/page53

https://nitanstory.com/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2-%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%B2/

 

************************************************************************************                                         

                                            ข้อมูลพื้นฐานของภาคกลาง

     ภาคกลาง เป็นภูมิภาคตอนกลางของประเทศไทย มีพื้นที่ครอบคลุมที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ติดต่อกับภาคเหนือทางทิศเหนือ ติดต่อกับภาคตะวันออก และภาคอีสานทางทิศตะวันออกโดยมีทิวเขาเพชรบูรณ์กั้น ติดต่อกับภาคตะวันตก ทิศเหนือติดต่อกับทิวเขาผีปันน้ำ พื้นนี้เคยเป็นดินแดนที่สำคัญของอาณาจักรอยุธยา และยังเป็นพื้นที่ที่สำคัญของประเทศไทย

ประเพณีและวัฒนธรรมที่สำคัญของภาคกลาง

   ภาคกลางถือได้ว่าเป็นจุดศูนย์กลางของประเทศไทย ที่ครอบคลุมพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยที่ราบซึ่งเกิดจากการที่แม่น้ำพัดพาเอาเศษหิน เศษดิน กรวดทราย และตะกอนมาทับถมพอกพูนมานับเป็นเวลาล้าน ๆ ปี บริเวณที่ราบของภาคนี้ กินอาณาบริเวณตั้งแต่ทางใต้ของจังหวัดอุตรดิตถ์ลงไปจนจรดอ่าวไทย นับเป็นพื้นที่ราบที่มีขนาดกว้างใหญ่กว่าภูมิภาคอื่น ๆ ของประเทศ จึงมีวัฒนธรรมภาคกลางที่น่าสนในมากมาย


นิทานพื้นบ้านทางภาคกลาง

                                                                 ๑.นิทานเรื่องพิกุลทอง

           มีหญิงสาวสวย คนหนึ่งชื่อว่า “พิกุล”กล่าวกันว่าเธอมีความสวยทั้งหน้าตาและ กิริยามรรยาท มารดาของเธอตายตั้งแต่เธอยังเล็กมาก ดังนั้นเธอจึงได้รับการเลี้ยงดูจากแม่เลี้ยงซึ่งเธอเองก็มีลูกสาวคนหนึ่ง ชื่อว่า “มะลิ” แต่ก็โชคร้ายที่ว่าทั้งแม่เลี้ยงและลูกสาวของเธอนั้นเป็นคนใจร้าย ทั้งคู่จะบังคับให้พิกุลทำงานหนักทุกวัน  อยู่มาวันหนึ่งหลังจากตำข้าวเสร็จแล้ว พิกุลก็ออกไปตักน้ำที่ลำธารซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านนัก ในขณะเดินทางกลับ ทันใดนั้นก็มีหญิงชราคนหนึ่งปรากฏอยู่เบื้องหน้าของพิกุลและขอน้ำเธอดื่ม พิกุลดีใจมากที่ได้ช่วยหญิงชราคนนั้น เธอเอาน้ำให้หญิงชราและบอกให้เธอเอาน้ำไปอีกเพื่อจะได้ล้างหน้า และล้างตัวให้สดชื่น พิกุลบอกหญิงชราว่าไม้ต้องห่วงเพราะถ้าน้ำไม่พอเธอจะไปตักมาอีก หญิงชรายิ้มและกล่าวว่า “เธอนี่นอกจากจะสวยแล้วยังใจดีอีกถึงแม้ว่าฉันจะดูยากจน และมอมแมมเธอก็ปฏิบัติกับฉันเป็นอย่างดี” หลังจากกล่าวชื่นชมพิกุลแล้ว หญิงชราก็ให้พรวิเศษกับเธอ และด้วยอำนาจของพรวิเศษนี้จะทำให้ดอกพิกุลทองคำร่วงออกมาจากปากของเธอ เมื่อใดก็ตามที่เธอรู้สึกสงสารใครหรือสิ่งใด หลังจากหญิงชราให้พรวิเศษแก่พิกุลแล้ว ก็หายวับไปต่อหน้าต่อตาของเธอ พิกุลก็รู้ทันทีว่าแท้ที่จริงแล้วหญิงผู้นั้นเป็นนางฟ้าจำแลงมาให้พรวิเศษแก่ตน ทันทีที่กลับถึงบ้านช้า เธอก็ถูกแม่เลี้ยงดุด่าว่าไปเถลไถลเพื่อหนีงาน ดังนั้นพิกุลจึงเล่าเรื่องทั้งหมด ให้ผู้เป็นแม่เลี้ยงฟังพร้อมกับเกิดความรู้สึกสงสารใน ขณะเล่าจึงทำให้ดอกพิกุลทองคำร่วงออกมาจากปากของเธอด้วย แม่เลี้ยงจอมละโมบก็เปลี่ยนอารมณ์จากโกรธเป็นละโมบในทันทีพร้อมกับตะครุบดอกพิกุลทองทั้ง หมดไว้ในขณะที่ปากก็สั่งให้พิกุลพูดต่อไปเรื่อย ๆ เพื่อสนองความละโมบของเธอนั่นเอง นับจากวันนั้นเป็นต้นมา แม่เลี้ยงของพิกุลก็เก็บรวบรวมดอกพิกุลทองคำไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อนำไปขายและได้เงินมามากมาย ชีวิตทุกคนตอนนี้ก็มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พิกุลเองก็ไม่ต้องทำงานหนักเหมือนแต่ก่อน แต่ก็ถูกบังคับให้พูดทั้งวันเพื่อให้ดอกพิกุลทองคำออกมาจากปากของเธอมากๆ นั่นเอง พิกุลทองอ่อนล้าไปกับการตอบสนองความละโมบของแม่เลี้ยง ตอนนี้พิกุลเองเกิดเจ็บคอและกลายเป็นคน เสียงแหบเสียงแห้งไปเลย เธอพูดไม่ได้ไประยะหนึ่ง อาการเช่นนี้ทำให้แม่เลี้ยงโมโหมากขึ้นจนถึงขั้นตบตี พิกุลเพื่อพยายามยังคับให้เธอพูดแต่พิกุลก็พูดไม่ได้แม้แต่คำเดีย

             เพื่อตอบสนองความละโมบของตน ตัวแม่เลี้ยงเองจึงตัดสินใจส่งลูกสาวของตนนามว่ามะลิไปทำตามอย่างพิกุลบ้าง  มะลิถูกส่งไปยังสถานที่เดียวกับที่พิกุลบอกไว้แต่ว่าแทนที่จะได้พบกับหญิง ชราก็กลับเป็น พบหญิงสาวสวยสวมเสื้อผ้างดงามยืนอยู่ใต้ร่มใหญ่ หญิงสาวผู้นั้นขอน้ำมะลิดื่มแต่ด้วยความริษยามะลิแสดงอาการโกรธและคิดว่า หญิงผู้นั้นไม่ใช่นางฟ้า เธอจึงปฏิเสธและใช้วาจาหยาบคายด่าทอนางฟ้าจำแลง  ดังนั้นนางฟ้าจึงสาปแช่งมะลิว่า เมื่อใดก็ตามที่เธอโกรธและพูดออกมาแล้วไซร้ ก็จะมีหนอนร่วงออกมาจากปากของเธอ เมื่อกลับมาถึงบ้านมะลิก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ผู้เป็นแม่ฟังและด้วยความโกรธ ในขณะ เล่าเรื่องนั้นก็ทำให้บ้านทั้งหลังเต็มไปด้วยตัวหนอน ผู้เป็นแม่คิดว่าพิกุลอิจฉาลูกสาวของตน ดังนั้นจึงแกล้งบิดเบือนเรื่องที่เล่าจึงเป็นเหตุให้ลูกสาวของตนไม่ได้พบกับ หญิงชราแม่เลี้ยงจึงทุบตีพิกุลและไล่เธอออกจากบ้านไป ด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้งพิกุลจึงท่องเที่ยวไปในป่า แต่เพียงลำพัง โชคดีที่ว่าเธอเดินไปในทิศทางที่ เจ้าชายหนุ่มกำลังเพลิดเพลินอยู่กับการขี่ม้าประพาสป่ากับข้าราชบริพารผ่าน มาพอดีเมื่อทอดพระเนตรเห็นสาวนั่งร้องไห้อยู่ทรงถามเรื่องราวความเป็นมาทั้ง หมด ทันทีที่พูดจบที่บริเวณนั้นก็เต็มไปด้วยดอกพิกุลทองคำ เจ้าชายดีพระทัยยิ่งนัก จึงขอนางอภิเษกสมรสด้วยและหลังจากการอภิเษกสมรสทั้งสองพระองค์ก็ได้ ขึ้นครองราชย์และปกครองเมืองของพระองค์ด้วยความร่มเย็นเป็นสุขตลอดมา

 

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

๑. จากเค้าเรื่องนิทานนี้จึงเป็นต้นกำเนิดของสำนวนไทยเปรียบเปรยคนที่ไม่ค่อยพูดหรือมักพูดอุบอิบอยู่แต่ในปากว่า “กลัวดอกพิกุลจะร่วง”

 ๒. “การคิดดีทำดี ย่อมได้รับสิ่งที่ดีตอบสนองเสมอ”

 

 

 


 

                                                  ๒.นิทานเรื่องเมขลากับรามสูร

        ณ สวรรค์ชั้นฟ้าอันเป็นที่สถิตของเหล่าเทพยาดาและบรรดานางฟ้าทั้งหลาย ครั้นถึงวสันตฤดูเหล่าทวยเทพต่างร่วมกันจัดงานนักขัตฤกษ์มีการละเล่นเป็นที่สนุกสนานครื้นเครง ในครั้งนั้นนางฟ้าองค์หนึ่งนามว่า เมขลา สถิตอยู่ ณ วิมานรัตนะ มีหน้าที่คอยพิทักษ์รักษาสมุทรไท นางมีดวงแก้ววิเศษดวงหนึ่งซึ่งได้รับการประทานมาจากพระนารายณ์ทำให้มีอิทธิฤทธิ์ เมื่อเหาะไปแห่งหนใดเมขลาก็ถือดวงแก้ววิเศษนี้ติดตัวไปด้วยเสมอ

     ขณะที่นางเมขลาเหาะออกจากวิมานเพื่อไปร่วมงานนักขัตฤกษ์ บังเอิญเจ้ายักษ์รามสูรได้เห็นแสงแวววาวของดวงแก้ววิเศษก็นึกอยากได้รีบเหาะติดตามหมายจะชิงมาเป็นของตน ส่วนนางเมขลาเห็นว่าจอมอสูรผู้นี้เป็นยักษ์ชั้นเลวที่เที่ยวเกะกะระรานไปทั่วทั้งแดนสวรรค์และใต้บาดาล เหล่าเทพเทวาทั้งหลายต่างเกลียดและกลัวไม่อยากจะตอแยด้วย เพราะเจ้ายักษ์รามสูรนี้มีขวานวิเศษอยู่ด้ามหนึ่งทำให้ไม่มีใครสู้ฤทธิ์ได้ นางเมขลาจึงคิดที่จะยั่วโทสะจอมมาร  นางเมขลาถือดวงแก้วล่อหลอกเหาะหนี ฝ่ายรามสูรก็ควงขวานเพชรไล่ติดตามอย่างไม่ลดละ พอได้ระยะจอมอสูรหมายจะขว้างขวานในมือใส่ พลันแสงประกายจากดวงแก้วก็ส่องสะท้อนแวมวับออกมา รามสูรตกใจขวานจึงพลาดเป้าแล่นแฉลบไปตามหมู่เมฆในท้องฟ้า บางครั้งก็ลงมาถึงพื้นดินเกิดเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น ขณะนั้น พระอรชุน ผู้เป็นใหญ่เหาะผ่านมาพอดี เจ้ายักษ์รามสูรกำลังโมโหจึงตวาดใส่พระอรชุนที่เหาะมาขวางหน้า ในที่สุดก็เกิดการรบกันด้วยฤทธิ์ รามสูรขว้างขวานโถมเข้าฟาดฟันใส่ทันที พระอรชุนจึงตอบโต้ด้วยพระขรรค์ การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด ต่างก็ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ จนในที่สุดพระอรชุนก็พลาดถูกจอมอสูรจับขาฟาดกับเขาพระสุเมรุจนสิ้นชีพ และผลการรบในครั้งนั้นถึงกับทำให้เขาพระสุเมรุเอียงทรุด                          เหตุการณ์ในเรื่องนางเมขลารามสูรนี้ เป็นเกร็ดตอนหนึ่งจากรามเกียรติ์ ซึ่งก็คือตำนานที่มาปรากฏการณ์ธรรมชาติอันได้แก่ ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง และฟ้าผ่านั่นเอง คนสมัยโบราณเชื่อกันว่าสายฟ้าคือประกายแสงจากขวานของรามสูร ซึ่งหากฟ้าผ่าลงมายังพื้นดินถูกต้นไม้ก็จะทำให้หักโค่นจนเกิดไฟลุกไหม้บางตำรากล่าวว่าเมขลาเป็นนางฟ้าผู้เป็นนางบำเรอของพระอิศวร ซึ่งพระบิดาของนางเองเป็นผู้นำมาถวายพร้อมกับดวงแก้ว วันหนึ่งนางเมขลาได้ทูลถามต่อพระอิศวรว่าเพราะเหตุใดนางจึงต้องมีเวรเข้าเฝ้า จึงได้รับคำตอบว่านางนั้นเหนือกว่านางฟ้าทั่วไปเพราะเป็นรองพระอุมาและมีหน้าที่ดูแลดวงแก้ว อยู่มาวันหนึ่งนางเมขลาเกิดไม่พอใจในฐานะความเป็นอยู่ของตน จึงลักดวงแก้วของพระอิศวรแล้วเหาะไปเที่ยวเล่น เนื่องจากมีดวงแก้ววิเศษ เหล่าเทพเทวาทั้งหลายจึงไม่อาจจับตัวได้   กล่าวถึงเจ้ายักษ์รามสูรผู้เป็นสหายกับฝนและกินลมเป็นอาหาร อสูรผู้นี้มีขวานเพชรเป็นอาวุธและเป็นมิตรกับพระราหู วันหนึ่งรามสูรได้รับการไหว้วานจากพระราหูให้ช่วยไปชิงดวงแก้วและจับนางเมขลา เพื่อพระราหูจะได้นำไปถวายพระอิศวรอีกต่อหนึ่งเป็นการไถ่โทษในความผิดของตน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยแปลงตัวเป็นเทวดาแอบไปกินน้ำอมฤตเมื่อคราวเหล่าเทพและอสูรช่วยกันกวนเกษียรสมุทร แต่ด้วยอำนาจแสงที่ส่องออกมาจากดวงแก้ว รามสูรจึงไม่สามารถขว้างขวานถูกนางได้แม้แต่ครั้งเดียว

              ดังนั้นเมื่อนางเมขลากับรามสูรพบกันเมื่อไหร่ ก็จะเกิดเหตุการณ์สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั้งแดนสวรรค์และโลกมนุษย์ตราบถึงทุกวันนี้  ไทยเราคิดเห็นไปว่าเมื่อเวลาฟ้าแลบฟ้าร้องนั้น ก็คือเวลาเมขลาล่อแก้วและรามสูรขว้างขวานนี่เอง แสงแก้วคือแสงฟ้าแลบ เสียงขวานคือฟ้าร้อง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

๑. เรี่องเมขลากับรามสูร เป็นการอธิบายเกี่ยวกับการเกิดฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า…ทำให้เราเรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติรอบตัวได้สนุกมากขึ้น…ที่สำคัญทำให้เข้าและผูกพันกับท้องถิ่น ก่อให้เกิดความภาคภูมิใจในท้องถิ่น

๒. ได้เรียนรู้กาพย์กลอนการใช้คำภาษาไทยที่สวยงาม ก่อให้เกิดความภาคภูมิใจในภาษา ศิลปะ วัฒนธรรมของไทย

   


                                                                  ๓.นิทานเรื่องนางพญากาเผือก

       นางพญากาเผือกทำรังอยู่บนต้นไม้ใกล้ฝั่งน้ำ มีไข่ห้าฟอง…ครั้งหนึ่งเกิดพายุและฝนตกหนักได้พัดต้นไม้โค่นลงแม่น้ำ ไข่ทั้งห้าฟองของนางพญากาเผือกลอยกระจัด กระจายไปตามกระแสน้ำ ฟองที่หนึ่งแม่ไก่เก็บได้ ฟองที่สองนาคเก็บได้ ฟองที่สามเต่าเก็บได้ ฟองที่สี่วัวเก็บได้ ส่วนฟองที่ห้าราชสีห์เก็บได้ สัตว์ทั้งห้าก็นำไข่ไปกกจนเกิดเป็นตัวเมื่อไข่ฟักเป็นตัวกลับกลายเป็นเด็กชายทั้งห้าคน และสัตว์ที่เลี้ยงดูเด็กทั้งห้าก็ตั้งชื่อตามลำดับดังนี้ คือ กกุสันโธ โคนาคมโน กัสสปะ โคดม และศรีอาริยเมตไตร

             ครั้นเจริญวัย เด็กทั้งห้าก็พยายามถามหาพ่อแม่เดิมของตน สัตว์ที่เป็นแม่เลี้ยงก็เล่าได้แต่เพียงว่าเก็บไข่ที่ลอยน้ำมา เด็กทั้งห้าจึงลาแม่เลี้ยงติดตามหาพ่อแม่เดิมของตน แต่ละคนต่างก็เดินทางพเนจรติดตามหาพ่อแม่เลียบริมฝั่งแม่น้ำ ในที่สุดได้เดินทางมาพบกันและได้ไต่ถามความเป็นมา ซึ่งทุกคนต่างก็ทราบว่าตนเกิดจากไข่ลอยน้ำเหมือนกันและเกิดในวันเดียวกันเป็นที่อัศจรรย์ใจนักก็เลยคิดว่าน่าจะมีแม่เป็นคนคนเดียวกัน จึงร่วมเดินทางติดตามแม่ด้วยกันทั้งห้าคน   เด็กทั้งห้าได้สืบเสาะหาแม่เท่าใดก็ไม่มีใครทราบ จึงทำพิธีเซ่นสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้บอกทิศทางติดตามแม่ ด้วยบุญบารมีของเด็กทั้งห้า นางพญากาเผือกซึ่งตายไปแล้วเกิดเป็นเทพอยู่บนสวรรค์ ก็มาปรากฎตัวให้เห็น และบอกว่าตนเป็นแม่เด็กทั้งห้า นางได้บอกสาเหตุที่ลูกได้พลัดพรากกันเมื่อครั้งเกิดพายุใหญ่ เด็กทั้งห้าจึงถามว่าพวกเขาอยากจะตอบสนองคุณมารดาจะกระทำได้โดยวิธีใด…นางพญากาเผือกจึงบอกว่า “ในวันเพ็ญเดือนสิบสอง ซึ่งเป็นวันที่พลัดพรากกัน ให้ลูกๆ ทำกระทงลอยน้ำไปหาแม่ โดยนำไข่สัตว์มาใส่ในกระทง และนำด้ายมาทำเป็นรูปเครื่องหมายตีนกา จุดไฟลอยไปตามน้ำพระคงคา กระทงจะไปถึงแม่” หลังจากนั้น เด็กชายทั้งห้าก็ทำกระทงลอยน้ำในวันเพ็ญเดือนสิบสองทุกปี และผู้คนอื่นๆต่างก็ทำกระทงลอยน้ำตามเด็กทั้งห้า จึงมีการทำพิธีลอยกระทงสืบมา

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

๑.     การทดแทนบุญคุณของผู้มีพระคุณกระทำได้หลายวิธี ทั้งนี้…ผู้รำลึกถึงและทดแทนบุญคุณของบุพการีคือผู้เจริญ

 

 


๔.นิทานเรื่องพระนางจามเทวี

       มีพระมเหสีของเจ้าเมืองอโยธยาองค์หนึ่ง ชื่อ”พระนางจามเทวี” เป็นราชธิดาของกษัตริย์กรุงละโว้ ซึ่งได้ยกพระธิดาให้เจ้าเมืองอโยธยา พระนางก็ได้มาอยู่ที่กรุงอโยธยาจนกระทั่งกษัตริย์กรุงอโยธยาเสด็จสวรรคต พระนางจามเทวีจึงได้ปกครองกรุงอโยธยา เมื่อปกครองแล้วข้าราชบริพาร ทหาร เสนา อำมาตย์ต่างๆ ไม่พอใจในพระนาง ก็เลยคิดการจับพระนางจามเทวี และสถาปนาราชวงศ์ลูกหลานของพระเจ้าแผ่นดินองค์เดิมขึ้นครองกรุงอโยธยาแทน  ส่วนพระนางจามเทวีนี้ก็ถูกเนรเทศให้ไปครองเมืองที่ไกล พระนางได้ไปอยู่ที่เมืองลำพูน แต่เรียก”หริพุญชัย” พระนางได้ประสูติพระโอรสเป็นฝาแฝด 2 คนด้วยกัน เมื่อประสูติพระโอรสแล้ว พระนางจามเทวีก็คิดจะสร้างอะไรขึ้นมาสักอย่างหนึ่งเพื่อเป็นอนุสรณ์ ก็เลยสร้างเจดีย์ใหญ่ขึ้นที่เมืองหริภุญไชย  เจดีย์นี้เป็นเจดีย์คู่บ้านคู่เมืองของเมือง หริพุญชัย (ปัจจุบันคือ เมืองลำพูน) ส่วนพระโอรส 2 พระองค์เมื่อเจริญวัยขึ้นมา พระนางส่งโอรสขึ้นทางทิศตะวันออก และสร้างเมืองขึ้นคือ “เมืองเขลางนคร

        จากตำนานเรื่องนี้วิเคราะห์ได้ว่า พระนางจามเทวีจะต้องเป็นคนเก่งและเป็นที่เลื่องลือของประชาชนมาก จึงได้เล่าสืบต่อกันมาว่าพระนางจามเทวีเป็นกษัตริย์หรือเจ้าเมืองที่ครองกรุงโบรารณซึ่งเป็นผู้หญิงที่เก่ง แต่ตัวพระนางเองก็ได้ถูกกบฏหรือถูกจับตัวให้ไปครองเมืองอื่น เจ้าเมืองรามปุระ ซึ่งเป็นที่ถกเถียงกันทางประวัติศาสตร์ว่าเป็นเมืองใดแน่ แต่คนกรุงเก่าหรืออยุธยาดั้งเดิมซึ่งเป็นคนเฒ่าแก่บอกว่า พระนางเป็นกษัตริย์ผู้หญิงของอโยธยาเดิมซึ่งมีมาก่อนกรุงศรีอยุธยา

 

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

๑.ตำนานของกรุงอโยธยาและเกี่ยวข้องกับเจดีย์หริภุญไชย เป็นความภูมิใจของคนเก่าๆ แก่ๆว่าหริภุญไชยเจดีย์ใหญ่นั้น คนอยุธยาเป็นคนสร้างขึ้นมา

  

 

 

 


 

                                  ๕.นิทานเรื่องพระยากง พระยาพาน

        เมื่อพญากงได้ครองเมืองศรีวิชัย คือ “เมืองนครปฐม” ในปัจจุบันนี้ สืบต่อจากพระเจ้าสิการาชผู้เป็นพระราชบิดาแล้ว ต่อมาได้มีพระราชบุตรที่ประสูติจากพระมเหสีองค์หนึ่ง โหรได้ถวายคำพยากรณ์ พระราชกุมาร ว่าจะเป็นผู้มีบุญญาธิการมากจะได้ครองราชสมบัติ เป็นกษัตริย์ต่อไปในภายหน้า แต่ว่าพระราชกุมารนี้จะกระทำปิตุฆาต คือฆ่าพ่อ  เมื่อพญากงได้ทราบดังนั้น จึงรับสั่งให้ราชบุรุษพา พระราชกุมารไปฆ่าทิ้งเสียในป่า ราชบุรุษจึงนำไปทิ้งไว้ที่ป่าไผ่…ที่ไร่ของยายหอม…ยายพรมไปพบพระราชกุมารจึงเก็บมาเลี้ยงไว้ แต่ยายพรมมีลูกหลานมาก จึงยกพระราชกุมารให้ยายหอมไปเลี้ยงไว้…ยายหอมได้เลี้ยงพระราชกุมาร แล้วนำไปให้เจ้าเมืองราชบุรีเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม  แต่เมืองราชบุรีเป็นเมืองขึ้นของเมืองศรีวิชัย อยู่ภายหลังพระราชกุมารเติบโตขึ้น ได้แข็งเมืองไม่ยอมส่งบรรณาการ และได้ท้ารบกับพระยากงจนได้ชนช้างกัน… เมื่อฆ่าพญากงสำเร็จแล้วได้เข้าเมืองศรีวิชัย…เวลานั้นพระมเหสีของพญากงซึ่งเป็นพระชนนีของพญาพานยังมีพระชนม์อยู่ กล่าวกันว่ารูปโฉมสวยงาม…พญาพานคิดอยากได้เป็นมเหสี ได้เสด็จเข้าไปที่ตำหนัก… เทพยดาได้แปลงเป็นแพะบ้าง บ้างก็แปลงเป็นแมวแม่ลูกอ่อน นอนขวางบันไดปราสาทอยู่…เมื่อพญาพานข้ามสัตว์ทั้งสองนั้นไป… สัตว์จึงพูดกับแม่ว่า “ท่านเห็นพวกเราเป็นเดรัจฉานจึงข้ามไป”… แม่ตอบลูกว่า “นับประสาอะไรกับเราเป็นสัตว์เดรัจฉาน แม้แต่มารดาของท่าน ท่านยังจะเอาเป็นเมีย”  พญาพานได้ฟังดังนั้นก็ประหลาดพระทัยนักจึงทรงตั้งอธิษฐานว่า”ถ้าพระมเหสีของพระยากงเป็นพระมารดาของเราจริงแล้ว ขอให้น้ำนมหลั่งออกจากถันทั้งสองข้างให้ปรากฏ ถ้าไม่ใช่พระมารดาของเราก็ขออย่าให้น้ำนมไหลออกมาเลย” พญาพานตั้งอธิษฐานแล้วน้ำนมได้หลั่งออกมาจากถันเป็นที่ประจักษ์แก่สายตา พญาพานจึงได้ไต่ถามได้ความว่าเป็นพระมารดาจริง แล้วก็ทรงดื่มกินน้ำนม และทรงทราบว่าพญากงเป็นพระราชบิดาจึงโกรธยายหอมว่ามิได้บอก  ให้ตนทราบว่าเป็นบุตรใคร จนได้ทำบาปถึงฆ่าพ่อแล้วได้ไปเรียกยายหอมมา แล้วจับยายหอมฆ่าเสีย  คนทั้งปวงจึงเรียกพระราชกุมารว่า “พญาพาล” เพราะไม่รู้จักบุญคุณคน และบ้างก็เรียก “พญาพาน” เพราะเมื่อเวลาเกิดนั้น พระพักตร์กระทบพานทองเป็นแผล เมื่อพญาพานฆ่ายายหอมแล้ว รู้สึกเสียพระทัย ว่าฆ่าผู้มีพระคุณเสียแล้วอีกคนหนึ่ง  จึงได้ถามสมณพราหมณาจารย์ว่าจะทำอย่างไรจึงจะล้างบาปในการฆ่าพระราชบิดา และฆ่ายายหอมผู้มีพระคุณ ผู้ที่เลี้ยงตนมาแต่เยาว์วัย  พระสงฆ์ก็ได้ถวายพระพรว่า”ให้สร้างเจดีย์สูงแค่นกเขาเหิน” จึงได้สร้างพระเจดีย์ขนาดใหญ่ สูงชั่วนกเขาเหิน คือองค์พระปฐมเจดีย์ เพื่อเป็นการล้างบาปที่ฆ่าพระราชบิดาให้บรรเทาลงบ้างและสร้างพระประโทนเจดีย์ เพื่อล้างบาปที่ฆ่ายายหอม

 

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

๑.อธิบายเกี่ยวกับสถานที่ความสัมพันธ์กับการสร้างพระปฐมเจดีย์ในจังหวัดนครปฐม

๒.การยอมรับความเป็นจริงว่าตนเองทำผิดชอบชั่วดีอย่างไรตามจริง

๓.ความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ และทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว



บรรณานุกรม

นิทานพื้นบ้านภาคกลาง-นิทานพร้อมภาพประกอบ Nitan story

https://nitanstory.com/tag/thai-central/

(เว็บที่ค้นข้อมูล: ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖)


***********************************************************************************

                                                           

                                                     นิทานพื้นบ้านของภาคเหนือ    

                                               ข้อมูลพื้นฐานของภาคเหนือ

            เป็นภูมิภาคที่อยู่ด้านบนสุดของไทย มีลักษณะภูมิประเทศอันประกอบไปด้วยเทือกเขาสลับซับซ้อนต่อเนื่องมาจากทิวเขาชานในประเทศพม่าและประเทศลาว ภาคเหนือมีภูมิอากาศแบบทุ่งหญ้าสวันน่าเหมือนกับพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ การที่มีพื้นที่อยู่เหนือระดับน้ำทะเลและมีเส้นละติจูดอยู่ตอนบนทำให้สภาพอากาศของภาคเหนือเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาลอย่างเห็นได้ชัด เช่น มีฤดูหนาวที่หนาวเย็นกว่าภูมิภาคอื่นๆ ทางด้านประวัติศาสตร์ของภาคเหนือมีความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมกับอาณาจักรล้านนา

 ประเพณีและวัฒนธรรมสำคัญของภาคเหนือ

          ภาคเหนือ หรือล้านนา ดินแดนแห่งความหลากหลายทางประเพณีและวัฒนธรรมที่มีความน่าสนใจไม่น้อยไปกว่าภาคอื่นของไทย เพราะเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยเสน่ห์มนต์ขลัง ชวนให้น่าขึ้นไปสัมผัสความงดงามเหล่านี้ยิ่งนัก ส่วนบรรดานักท่องเที่ยวที่ไปเยี่ยมชม ต่างก็ประทับใจกับสถานที่ท่องเที่ยวมากมายและน้ำใจอันล้นเหลือของชาวเหนือ ตั้งนั้นใครที่ยังไม่มีโอกาสได้ไปเยือนสักครั้งคงต้องไปแล้วล่ะค่ะ ว่าแล้วเราก็ขอนำประวัติเล็กๆ น้อยๆ พร้อมข้อมูลเกี่ยวกับวัฒนธรรมและประเพณีของภาคเหนือมาฝากกัน เผื่อเป็นไกด์ให้-


นิทานพื้นบ้านของภาคเหนือ

                                                  ๑. นิทานเรื่องดนตรีรักธรรมชาติ

             มีนายพรานผู้หนึ่งมีอาชีพเข้าป่าล่าสัตว์ เมื่อยิงสัตว์ได้ก็แล่เนื้อและย่างนำมาขายในเมืองส่วนเขาและหนังก็ขายให้ แก่ผู้ต้องการ วันหนึ่ง เขาออกจากบ้านพร้อมกับปีนคู่มือเดินลัดตรงเข้าป่ามุ่งตรงไปยังหนองน้ำข้างเขา เพราะบริเวณนี้สัตว์ป่ามักจะลงมากินน้ำและกินดินโป่งเสมอ ๆ นายพรานคิดแต่ในใจว่า วันนี้ถ้าโชคดีคงจะยิงหมูได้ไม่น้อยกว่า ๒ ตัว เพราะฤดูนี้หมูชอบลงมากินดินโป่ง ขณะที่นายพรานกำลังเดินทางไปผ่านป่าทะลุออกสู่แม่น้ำสองฟาก แม่น้ำมีต้นไม้ใหญ่ร่มครึ้ม เยือกเย็น มีนกนานาชนิดจับคู่ส่งเสียงจอแจ นายพรานกวาดสายตาดูรอบ ๆ เพื่อมองหาสัตว์ป่าที่จะลงมากินน้ำ ทันใดนั้นก็เหลือบไปเห็นหมูป่าขนาดใหญ่กำลังเดินดุ่ม ๆ เสาะหาอาหารตามชายป่าละเมาะอีกฟากหนึ่ง นายพรานก็ทรุดตัวลงนั่งโดยเร็ว เพื่อเตรียมพร้อมบรรจุลูกกระสุนและเลือกทำเลที่เหมาะคอยดักยิง หมูป่าตัวนั้นคงเดินเสาะหาอาหารไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมันไปพบรางไม้สำหรับใส่อาหารซึ่งชาวไร่ใส่อาหารดักล่าสัตว์ป่าไว้ โดยไม่รีรอมันตรงเข้ากินอาหารในรางนั้นทันที เผอิญวันนี้เจ้าของไร่ไม่สบาย จึงไม่ได้ออกมานั่งห้างคอยดักยิงสัตว์ที่ตนวางอาหารล่อไว้  นายพรานขยับตัวคลานเข้าไปเพื่อเลือกทำเลยิงที่เหมาะ จนกระทั่งอยู่ในระยะที่มองเห็นหมูตัวนั้นชัดเจนที่สุด เขาจึงยกปืนขึ้นประทับบ่าเล็งจะยิงให้ตรงหัวใจ ขณะที่เขากำลังเล็งอยู่นั้น ลมเย็นพัดมาเอื่อย ๆ ยอดหญ้ายอดพงแกว่งไกวโอนเอนไปมา แสงแดดสว่างจ้าเข้าตาทำให้ตาเขาพร่าพราวมองเห็นหมูป่าไม่ชัดเจน เขาจึงหยุด ไม่กล้ายิงไปเพราะเกรงว่าจะยิงพลาด ขณะที่เขากำลังอยู่นั้น หูของเขาได้ยินเสียงของนกหัวขวานกำลังจิกกินหนอนที่กอไผ่ ดัง ป๊ก ป๊ก ปง ปง ๆ เป็นระยะ ๆ ประกอบกับเสียงระหัดน้ำที่หมุนตามแรงน้ำ น้ำในกระบอกไหลออกตกลงมากระทบรางไม้ที่รองรับดัง ฉ่า ฉ่า ฉับ ฉ่า ฉ่า ฉับ ๆ ผสมกับเสียงหมูกินอาหารในรางไม้ดัง ตุ๊บ ตุ๊บ โมง โมง จ๊วบ จ๊วบ ๆ หางของมันซึ่งมีดินเหนียวติดตรงปลายหางเห็นเป็นก้อนกลมแกว่งไปมาไล่ริ้นยง หางแกว่งถูกท้องของมันดัง ปุ๋ง ปั๋ง ปุ๋ง ปั่ง ๆ ผสมกับเสียงลมพัดกอไผ่เสียดสีกันดังเอี๊ยด ๆ อี๊ด ๆ อ๊อด ๆ เสียงแกนระหัดหมุนไปตามแรงน้ำดัง อืด อิด ๆ นกต้อยตีวิด บินไปมาร้องดังกระแต๊ แว๊ด ๆ ๆ เสียงต่าง ๆ เหล่านี้ดังผสมคลุกเคล้ากันฟังเหมือนเสียงดนตรีสวรรค์ นายพรานระงับใจไว้ไม่ได้จึงลดปืนลงมาพาดกับกิ่งไม้เงี่ยหูฟังเสียงเหล่านั้น อย่างตั้งใจ เสียงเหล่านั้นมันดัง ป๊ก ป๊ก ปง ปง ๆ ฉ่า ฉ่า ฉับ ๆ ตุ๊บ ตุ๊บ โมง ๆ จ๊วบ จ๊วบ ๆ ปุ๋ง ปั่ง ๆ เอื๊ยด ๆ อื๊ด ๆ แอ๊ด ๆ อืด อือ อืด ๆ กระแต้แว้ด ๆ

เออ เสียงเหล่านี้ช่างไพเราะแท้ ๆ “ นายพรานอดใจไว้ไม่ได้จึงลุกขึ้นรำไปตามจังหวะ ดังคำพรรณนาไว้ดังนี้

จ้อง ๆ มอง ๆ ยอง ๆ ย่อยแย่ง ไกวแกว่งอาวุธ ยุติการยิง เอนกายนั่งพิงต้นไม้ นั่งพิงฟังเสียงเสนาะไพเราะกระไร แกลุกขึ้นไอฮะแอ้ม ๆ แก้มยิ้มเป็นมัน กัดฟันกรอด ๆ หมูคงไม่รอดจอดแน่ละมึง พรานทะลึ่งลุกกวางปืนไว้ พลางกางแขนออกฟ้อน หมูป่าตกใจโดดหายเข้าป่า พรานกล้าใจเสียอดได้หมูเอย

ข้อคิดที่ได้จากนิทานเรื่องนี้

     นิทานเรื่องนี้ทำให้ผู้อ่านทราบว่า ธรรมชาติก็มีอิทธิพลต่อจิตใจ สามารถทำให้คนตึงเครียดได้หรือผ่อนคลายอารมณ์ได้ เช่น เสียงดนตรี ทำให้มีอารมณ์สนุกสนานจนลืมสิ่งที่ตึงเครียดไป

 


 

 

                                                          ๒. นิทานเรื่องเชียงดาว

     ในอดีตกาลมีนครแห่งหนึ่งนามว่า นครพะเยา กษัตริย์ผู้ครองนครมีราชธิดา ๖ องค์ และมีโอรสเป็นองค์สุดท้าย นามว่า เจ้าคำแดง อายุ ๑๖ ชันษา ราชธิดาทุกองค์สมรสหมดแล้วกับเจ้าเมืองต่าง ๆ สำหรับเจ้าคำแดงเป็นผู้กล้าหาญ เข้มแข็งในการสงครามยิ่งนัก ทรงโปรดการออกป่าล่าสัตว์อยู่เสมอ ๆ

     ครั้นหนึ่งมีกองทัพฮ่อยมาล้อมนครพะเยา พระราชาทรงเรียกเขยทั้ง ๖ องค์มาถามว่า “ศึกครั้งนี้ใครจะเป็นผู้อาสาออกไปปราบปราม” เขยทั้ง ๖ นิ่ง ไม่มีใครกล้าอาสา เพราะทราบว่าศัตรูมีกำลังมากมายและเข้มแข็งยิ่งนัก ดังนั้น พระราชาจึงตรัสเรียกเจ้าคำแดงออกมา เมื่อเจ้าคำแดงทราบเรื่องจึงรับอาสาออกปราบเอง พร้อมด้วยไพร่พลหนึ่งหมื่น การรบครั้งข้าศึกได้แตกพ่ายไป เมื่อเจ้าคำแดงได้ชัยชนะก็ยกทัพกลับ ขณะเดินทาง บังเอิญเจ้าคำแดงเห็นกวางทองรูปงามตัวหนึ่ง ก็อยากจะได้เพื่อนำไปถวายพระบิดา จึงสั่งให้พวกทหารเข้าล้อม เมื่อไพร่พลเข้าล้อมอย่างกระชั้นชิดเข้าไปมาก กวางก็ตกใจกระโจนหนีออกทางด้านเจ้าคำแดง ดังนั้น เจ้าคำแดงจึงควบม้าติดตามไปพร้อมด้วยไพร่พล การติดตามใช้เวลาหลายวัน จากนครพระเยาจนเข้าเขตเชียงใหม่ จนเข้าใกล้เขาลูกหนึ่งสูงมาก สูงเทียมดาว ไพร่พลเรียกเขาลูกนี้ว่า “สูงเพียงดาว” ต่อมาชื่อนี้เพี้ยนไปเป็น “เชียงดาว”

     บริเวณเชิงเขาเป็นทุ่งกว้าง กวางทองวิ่งหายไปในป่าหญ้า ต้องใช้เวลาค้นหาเป็นเวลานานบริเวณทุ่งหญ้าตรงนี้ชาวบ้านเรียกว่า “ทุงผวน” (ทุ่งกวางหาย) “ผวน” เป็นคำพื้นเมือง แปลว่า “สับสน” ต่อมาพวกทหารได้มองเห็นแต่ไกล คิดว่าเป็นเนื้อทราย แต่พิจารณาดูดี ๆ จึงรู้ว่าเป็นกวางทอง ตรงบริเวณนี้ชาวบ้านให้ชื่อว่า “บ้านแม่ทลาย” (แม่ทราย) เจ้าคำแดงคงติดตามไปไม่ลดละกวางเห็นจวนตัวจึงถอดคราบกวางทองออกไว้ เรือนร่างภายในกลายเป็นสตรีสาวสวยยิ่งนัก นามว่า “อินทร์เหลา” แล้วหนีต่อไป ทั้งหมดจึงรู้ว่ากวางทองเป็นคน หมู่บ้านที่กวางถอดคราบออกนี้เรียกว่า “บ้านสบคราบ” (สบ ปากทางแพร่)  อินทร์เหลาหนีขึ้นไปตามลำธารเล็ก ๆ เนื่องด้วยมีเครื่องแต่งกายเพียงเล็กน้อย เจ้าคำแดงที่ติดตามมาอย่างใกล้ชิดเกรงว่านางจะอาย จึงยกมือโบกให้ทหารติดตามมาหมอบราบกับพื้น เพื่อมิให้นางเห็น ตรงนี้เรียกว่า “น้ำแม่แมบ” (แมบ – หมอบ) ต่อมาเพี้ยนเป็นแม่น้ำแมะ นางหนีขึ้นไปถึงบนเนินเขาซึ่งเป็นทางแคบ ๆ ทหารตรูเข้าจะจับตัวนาง แต่เจ้าคำแดงยกมือห้ามไว้ พระองค์จะตามไปเอง พอดีนางอินทร์เหลาหนีเข้าป่าไปได้ หมู่บ้านตรงนี้เรียกว่า “แม่นะ” และเพื่อไม่ให้นางหลบหนีไปได้ เจ้าคำแดงจึงสั่งให้ทหารล้อมไว้พร้อมกับขุดคูกั้นไว้ คูนี้ต่อมาเรียกว่า “คือฮ่อ” (คือ-คู)  นางอินทร์เหลาจวนตัว จึงพยายามปีนป่าขึ้นเขาได้ เจ้าคำแดงติดตามไปแต่ผู้เดียว และไปพบตัวนางบนเนินเขาเตี้ย ๆ นางจึงถามว่า “มาจับฉันทำไมฉันมีความผิดอะไรหรือ”เจ้าคำแดงตอบว่า“ข้าพเจ้าเป็นราชโอรสของกษัตริย์พะเยา เห็นกวางทองก็อยากจะได้จึงติดตามมา แต่ปรากฏว่ากวางทองตัวนั้นความจริงเป็นนางผู้สวยงาม เกิดรู้สึกรักและอยากจะได้เป็นชายา” นางตอบว่า“หากพระองค์รักข้าพเจ้าจริง ควรจะต้องไปบอกมารดาเสียก่อน ขณะนี้อยู่ในถ้ำ” เจ้าคำแดงเห็นตามคำกล่าว จึงลงมาจากม้าเดินตามนางเข้าไปในถ้ำเพื่อไปหามารดาของนาง ซึ่งมีชื่อว่า “อินทร์ลงเหลา”  พวกเสนาที่ติดตามมาพบแต่ม้าที่ปล่อยไว้ แลเห็นรอยเท้าทั้งสองหายเข้าไปในถ้ำ พวกเขารออยู่เป็นเวลานานเจ้าคำแดงก็ไม่ออกมา เมื่อเข้าไปดูในถ้ำก็ไปไม่ถูกจึงต้องยกทัพกลับนครพะเยา ชาวบ้านใกล้ ๆ ทราบเรื่องต่างกล่าวว่า เจ้าคำแดงขณะนี้ได้เป็นอารักษ์คุ้มครองดูแลถ้ำขุนเขาลูกนี้ และเรียกเจ้าคำแดงว่า “เจ้าหลวงคำแดง” ทุกวันนี้


ข้อคิดที่ได้จากนิทานเรื่องนี้

     นิทานเรื่องนี้ เป็นการบอกให้เราคนหลัง ๆ ได้ทราบถึงความเป็นมาของสถานที่ที่มีชื่อในถิ่นนั้นและแสดงให้เห็นถึงความ กล้าหาญ เด็ดเดี่ยว และความพยายามเป็นอย่างมากจนพบกับความสำเร็จแต่ก็มีความเชื่อเกี่ยวกับทางไสยศาสตร์เช่นกัน

 


                                                               ๓. นิทานเรื่องอ้ายก้องขี้จุ๊

        ใคร ๆ ในเวลานั้นก็รู้กันว่าอ้ายก้องเป็นคนขี้จุ๊ (มักกล่าวเท็จ) จุ๊ไม่เลือกว่าเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นธุเจ้า (พระสงฆ์) หรือเป็นพระยาเจ้าเมือง เรื่องที่ก้องหลอกพ่อแม่ มีเรื่องเล่าดังนี้

     วันหนึ่งก้องลาพ่อแม่ไปเที่ยวที่ไกล หายหน้าไปหลายวัน พอกลับมาก็เล่าให้พ่อแม่ฟังว่าที่ไปเที่ยวมานั้นม่วน (สนุก) มาก ค้าขายก็ดี พ่อค้าวัวต่างวัวหลัง (ขายดี ของที่บรรทุกหลังวัวมาหมดเกลี้ยง) ทำให้ก้องอยากเป็นพ่อค้าวัวต่างบ้าง ขอให้พ่อช่วยซื้อวัว ซื้อสินค้าให้ แล้วชวนพ่อไปค้ากับตนที่เมืองนั้น พ่อเองทั้งนึกกลัวว่าก้องจะจุ๊เอาอีกอย่างที่แล้ว ๆ มา แต่ก้องก็ยืนยันว่าคราวนี้จะไม่จุ๊แน่นอน ทั้งพ่อก็กำกับไปเองด้วย ไม่ต้องกลัวว่าก้องจะทำเหลวไหลให้เสียเงินเสียทอง พ่อแม่จึงยอมตกลงซื้อวัว ซื้อของบรรทุกไปค้าขายกับก้อง เมืองที่ว่าค้าขายดีนั้นดีจริงเหมือนก้องพูด พ่อกับก้องขายของหมด ซื้อไปขายมาได้เงินมากได้กำไรจนเพลินไปเกือบจะไม่ได้ปิ๊กบ้านปิ๊กเมือง (กลับบ้านกลับเมือง) อยู่มาวันหนึ่งก้องเตือนพ่อขึ้นว่า จากบ้านมานานแล้วนึกเป็นห่วงแม่อยากจะกลับไปเยี่ยม พ่อก็เห็นดีด้วย แต่ขณะที่กำลังซื้อขายคล่อง ถ้ากลับไปก็เสียดาย จึงตกลงกันว่าให้พ่อค้าขายอยู่ทางนี้ ให้ก้องกลับไปเยี่ยมแม่คนเดียวเอาเงินเอาทองที่ทำมาหาได้ไปฝากแม่ด้วย ก้องรับเงินทองจากพ่อแล้วออกเดินทางไป แต่ไม่ตรงไปหาแม่เดียว เที่ยวไถลไปไหน ๆ จนเงินทองหมดตัวจึงกลับไปหาแม่ พอพบหน้าแม่ก็ทำเป็นเศร้าโศกร้องไห้ฟูมฟายว่าไปมาคราวนี้พาพ่อไปล้มไปตาย ข้าวของสมบัติอะไร ๆ ที่ติดตัวไปก็ล่มหมด พ่อตายทำบุญให้แล้วก็รีบกลับมาหาแม่นี่แหละ อู้ (พูด) อย่างนี้แล้วก็แนะแม่ว่า เวลานี้พ่อก็หาไปแล้ว (ตาย) ควรขายบ้านเก่าเสียแล้วย้ายไปเมืองอื่นที่ทำมาหากินได้ดีกว่าเมืองนี้ ก้องจะอยู่ช่วยแม่ค้าขาย ไม่จากแม่ไปไหนอีกแล้ว แม่กำลังเศร้าโศกเสียใจก็ตกลงทำตามที่ก้องแนะนำ ขายบ้านเก่าแล้วย้ายมาอยู่ที่ใหม่แล้วแม่ก็ยังไม่หายเสียใจ ร้องไห้คิดถึงพ่ออยู่เสมอ ก้องจึงปลอบแม่ว่า “แม่อย่าร้องไห้เสียใจไปนักเลย ไหน ๆ พ่อก็ตายไปแล้ว นึกหาเอาใหม่ก็แล้วกัน” แม่ตอบว่า “จะหาคนเหมือนพ่อไม่ได้แล้ว ถ้าได้อย่างพ่อก็จะเอาใหม่” ก้องจึงบอกแม่ว่า “ถ้าต้องการอย่างนั้นก็บ่ยาก แต่ก่อนเมื่อข้าเที่ยวไป ข้าปะพ่อชายคนหนึ่งเหมือนพ่อไม่ผิดกันเลย ข้าจะไปชักมาให้แม่”

      ครั้นแล้วก้องก็ลาแม่ไป กลับไปหาพ่อที่คอยฟังข่าวอยู่ ก้องพบพ่อทำเป็นร้องไห้รำพันร่ำไรว่ากลับไปบ้านนี้เคราะห์ร้ายมาก ไม่ได้พบหน้าแม่ แม่ตายเสียแล้วตั้งแต่ยังค้าขายกันอยู่ บ้านช่องก็เสียหายเป็นของเขาอื่นไปแล้ว พ่อได้ยินว่าแม่ตายเสียแล้วอย่างนั้นก็เสียใจมาก ร้องไห้คิดถึงแม่อยู่หลายวัน วันหนึ่งก้องได้ช่อง (ได้โอกาส) ก็เข้าไปปลอบพ่อว่า “พ่ออย่าร้องไห้ไปเลย เมื่อก่อนที่ข้าเที่ยวไป ข้าปะหญิงคนหนึ่งเหมือนแม่ไม่มีผิด เมื่อพ่ออยากเห็นข้าจะพาไปที่บ้าน”

     ก้องชักพ่อมาหาแม่ที่เมืองที่แม่ย้ายมาอยู่ใหม่ แล้วรีบหนีไปเที่ยวเสียที่อื่นต่อไป พ่อแม่พบกันนึกว่าเป็นพ่อชาย แม่หญิง ที่เหมือนคู่เก่าของตนที่ตายไปแล้ว ก็ดีใจมาก ตกลงอยู่กินกันต่างคนต่างนึกว่าตนได้คู่คนใหม่ อยู่มาวันหนึ่ง แม่บ่นถึงก้องว่าหายไปนานแล้วไม่กลับ ไปเที่ยวจุ๊อยู่ที่บ้านไหนก็ไม่รู้ พ่อได้ยินออกชื่อก้องก็สงสัย ซักถามกันขึ้น ก็ความแตกว่าต่างคนมีลูกชื่อก้องขี้จุ๊คนนั้นเอง ลูกหลอกให้มาได้กันเหมือนได้ผัวใหม่เมียใหม่ ส่วนที่ก้องจุ๊ธุเจ้านั้น มีเรื่องเล่าว่า อาจารย์เจ้าวัดหนึ่งเป็นคนขี้หวง ถึงหน้าต้นไม้ในวัดออกลูกออกผล อาจารย์ก็ป้องกันแข็งแรงกลัวว่าใครจะมาขอมาขโมย คราวหนึ่งมะม่วงในวัดออกลูกมากมาย คนในวัดและชาวบ้านแถวนั้นรู้ดีว่าเจ้าวัดหวงมาก ถึงอย่างไร ๆ ก็คงไม่ยอมให้มะม่วงใคร ก้องอยากลองดีจึงบอกกับพ่อว่าฉันจะเอามะม่วงในวัดมาให้พ่อกินให้ได้ พ่อก็หัวเราะประมาทหน้า แน่ใจว่าเอาของท่านมาไม่ได้ ก้องท้าพนันกับพ่อว่า ถ้าเอามาได้พ่อจะให้เท่าไร พ่อบอกว่าได้มะม่วงมาลูกหนึ่งจะให้พันตำลึงทอง ก้องจึงรับรอว่าถ้าได้พันตำลึงทองจะเอามาให้พ่อตะกร้าใหญ่ ไม่ต้องนับว่ากี่ลูก แล้วก็แต่งตัวโอ่โถง ลงเรือหายหน้าไป ๒ – ๓ วัน พ่อก็ไม่รู้ว่าก้องไปไหนพอกลับมาก้องรีบมาที่วัดเข้าไปเคารพอาจารย์เจ้าวัด แล้วบอกว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนรับคำสั่งท่านพญาเจ้าเมืองให้มาตรวจดูสถานที่ในวัดท่านจะมาแปง (สร้าง) หอหลวง ท่านให้มาถามอาจารย์ก่อนว่าจะยอมอนุญาตให้สร้างหรือไม่” อาจารย์เจ้าวัดเห็นก้องแต่งตัวภูมิฐาน ท่าทางดี นึกว่าพญาเจ้าเมืองใช้ให้มาจริง ๆ ก็บอกอนุญาตให้ก้องเที่ยวเดินไปทั่ววัดตรวจไปพลางเอาเชือกเที่ยววัดตรงนั้นตรงนี้ทำท่าเหมือนจริง ครั้นวัดและจดได้เสร็จแล้ว ก็บ่นดัง ๆ ให้เจ้าวัดได้ยินว่า “สะดายสะดาย ( เสียดาย ) มะม่วงต้องตัด หอหลวงนี้ใหญ่โตมาก กินที่ไปถึงต้นมะม่วงพวกนี้ด้วย” อาจารย์เห็นว่าได้หอหลวงใหญ่ถึงจะตัดมะม่วงสักต้นก็ยอม และเมื่อไหน ๆ จะตัดมะม่วงอยู่แล้ว ก้องจะเก็บเอาลูกไปบ้างก็ได้ไม่หวงเอาไว้เหมือนแต่ก่อน ทั้งก้องก็เป็นคนที่จะไปนำพญาเจ้าเมืองมาแปงหอหลวงในวัดนี้ จึงให้ก้องเก็บมะม่วงเอาไปตะกร้าหนึ่ง ก้องเอามะม่วงไปให้พ่อ พอร้องทวงตำลึงทองตามที่พ่อสัญญาไว้ พ่อกลับร้องด่าเอาว่า “มึงรู้จักจุ๊ธุเจ้าเอามะม่วงมาได้ กูไม่รู้จักจะจุ๊ใคร จะเอาคำที่ไหนมาหื้อ (ให้) มึงตั้งพัน”

     ส่วนเรื่องที่ก้องจุ๊พญาเจ้าเมือง มีว่า พญาเจ้าเมืองรู้ว่าก้องเป็นคนขี้จุ๊ ใคร ๆ ก็เสียรู้ นึกอยากลองปัญญา จึงให้คนไปหาตัวมาเฝ้าแล้วท้าให้จุ๊ตัวบ้างดูว่าตนจะหลงเชื่อเสียรู้ก้อง หรือไม่ ก้องก็รับปากว่าจะลองดู แล้วทูลขอเอาไว้ก่อนล่วงหน้าว่าอย่าเอาโทษตนเป็นอันขาด ไม่ว่าตนจะทำให้พญาเสียรู้สักแค่ไหน เจ้าเมืองก็รับคำแล้วบอกให้ก้องเริ่มได้ แต่ก้องบอกว่าจะจุ๊เจ้าเมืองในวังไม่ได้ ต้องออกไปข้างนอกไกล ๆ แล้วพาเจ้าเหนือหัวเดินออกไปนอกเมืองไกลจนถึงบวก (หนองน้ำ) แห่งหนึ่ง แล้วทูลขอให้เจ้าเมืองลงไปยืนในหนองน้ำนั้น ตนจะจุ๊ให้ขึ้นจากหนองน้ำให้ได้ พญาเจ้าเมืองก็ลงไปในหนองน้ำแล้วตั้งใจว่าก้องจะจุ๊อย่างไรก็ไม่ยอมขึ้น พอเจ้าเหนือหัวลงไปอยู่ในหนองเรียบร้อยแล้ว ก้องก็ร้องทูลว่า “ข้าพเจ้าจุ๊ให้ท่านเดินออกจากวังมานอกเมืองไกลแค่นี้แล้ว ส่วนที่จุ๊ให้ลงไปอยู่ในน้ำนั้นจะขึ้นหรือไม่ก็ตามพระทัยเถิด” ก้องกล่าวดังนั้นแล้วก็ถวายบังคมลากลับไปเสียเฉย ๆ พญาเจ้าเมืองก็รู้ว่าเสียท่าก้องเสียแล้ว และตั้งแต่เสียรู้ก้องวันนั้นแล้วก็ผูกใจเจ็บอยู่เสมอ วันหนึ่งจึงให้ไปจับก้องลงโทษ ให้เอาใส่หีบไม้ล่อ (โผล่) แค่คอแล้วแขวนเอาไว้บนต้นไม้ริมแม่น้ำใกล้ทางหลวง แขวนประจานเอาไว้เจ็ดวันให้คนทั้งหลายดูหน้าคนบังอาจจุ๊เจ้าเหนือหัว เมื่อครบเจ็ดวันแล้ว จะให้โค่นต้นไม้ตกแม่น้ำไปให้ก้องจมน้ำตายอยู่ในหีบไม้ใบนั้น ผู้คนก็พามาดูอ้ายก้องขี้จุ๊กันมากมาย ในเย็นที่ก้องจะต้องตายนั้น เผอิญอ้ายเงี้ยวตาฟางคนหนึ่งเดินงุ่มง่ามมา ก้องแลเห็นแต่ไกลก็ดีใจมาก ร้องเรียกให้เข้ามาใกล้ ๆ เงี้ยวตาฟางจึงถามว่าก้องเป็นใคร ก้องบอกว่าตนเป็นคนตาบอด หมอรักษาตาเอาใส่หีบแขวนไว้ เวลานี้ตาหายแล้วเห็นดีแล้ว เงี้ยวตาฟางอยากตาดีบ้าง จึงให้ก้องช่วยเอาตัวใส่หีบแขวนไว้ เงี้ยวจึงช่วยก้องออกมาแล้วเข้าไปอยู่ในหีบแทน ครบกำหนดเจ็ดวัน เพชฌฆาตก็มาโค่นต้นไม้ เงี้ยวตาย ส่วนก้องพ้นตายไปได้ แล้วก็ไปเฝ้าเจ้าเมือง เจ้าเมืองแปลกใจว่าเหตุใดก้องตกน้ำแล้วยังไม่ตาย ก้องจึงกุเรื่องขึ้นเล่าว่า “ตกน้ำไปจริงแต่ไม่ตาย ได้ไปเที่ยวถึงเมืองพญานาค เมืองนั้นสนุกสนานมาก มีแต่ผู้หญิงงาม ๆ ทั้งเมือง ไม่มีผู้ชายเลย” แล้วขยายเรื่องจนเจ้าเมืองอยากไปบ้าง ขอให้ก้องช่วยจัดการให้ได้ไปเที่ยวถึงเมืองพญานาค ก้องจึงเอาเจ้าเมืองใส่หีบทิ้งน้ำ เป็นอันว่าพญาเจ้าเมืองไม่ได้กลับมาครองบ้านเมืองอีกต่อไป  ส่วนก้องกลับมาเฝ้านางเทวี ชายาเจ้าเมือง เล่าว่าเจ้าเมืองไปอยู่เมืองพญานาค มีความสุขสนุกสนาน ไม่ยอมกลับบ้านเมืองอีกแล้ว มอบให้ก้องเป็นพญาแทน ส่วนเจ้านางเทวีนั้น พญาสั่งว่าอย่าให้เอาผู้ใดเป็นผัวนอกจากก้อง อ้ายก้องขี้จุ๊ก็ได้เป็นพญาแต่นั้นมา

ข้อคิดที่ได้จากนิทานเรื่องนี้

– ให้ความสนุกเพลิดเพลิน

– ให้เห็นถึงความโกหกหลอกลวงของคนที่โกหกหลอกลวงไม่เลือกแม้แต่พ่อแม่ พระสงฆ์

– คนมีสติปัญญาสามารถเอาตัวรอดได้เสมอ

 


                                                                 ๔. นิทานเรื่องผาวิ่งชู้

          นานมาแล้ว มีเจ้าหญิงไตองค์หนึ่ง (ไต – ไทย) เมื่อเติบโตเป็นสาวก็ไปหลงรักกับชายหนุ่ม คนหนึ่ง ชายหนุ่มก็หลงรักเจ้าหญิงมาก ทั้งสองมีความรักซึ่งกันและกันอย่างแน่นแฟ้น แต่เพราะความแตกต่างกันในเรื่องฐานะ ศักดิ์ ตระกูล ความรักของเขาทั้งสองจึงมีอุปสรรค มันเป็นอุปสรรคอันใหญ่หลวงยากที่จะฟันฝ่าไปให้ถึงจุดหมายได้ ในเมื่อกำเนิดของเขาต่างกันราวฟ้ากับเหว ชายหนุ่มเป็นลูกชายของมหาอำมาตย์ท่านหนึ่ง ความรักของคนทั้งสองก็ต้องถูกกีดขวางไม่ให้ติดต่อกัน แต่ความรักคือความรักที่รุนแรง ไม่มีกำแพงใด ๆ จะสูงเกินไปกว่าความรักเหมือนโรมีโอกล่าวว่า “แม้รั้วสิลา บ่มิอาจกั้นเราได้” แล้วหนุ่มสาวก็ถือโอกาสลอบพบปะกันเสมอ นับวันก็จะถูกกีดขวางมากขึ้น  วันหนึ่งทั้งสองก็นัดกันว่าจะหนีไปด้วยกันโดยขี่ม้าหนีไป พอได้เวลานัดชายหนุ่มก็มาคอยรับเจ้าหญิงในที่ลับ ๆ แห่งหนึ่งนอกเมือง ในที่สุดชายหนุ่มก็พาเจ้าหญิงหนีไปในกลางดึกคืนวันนั้น แต่ทั้งสองไปไม่รอดเพราะพระราชบิดาของเจ้าหญิงทราบเรื่องก็ให้ไพร่พลควบม้า ติดตามไป ตามไปทันในขณะที่ม้าของชายหนุ่มกับเจ้าหญิงไปถึงฝั่งของแม่น้ำซึ่งเป็น หน้าผาสูงชันมาก เมื่อหมดทางหนีเขาทั้งสองคิดว่าจะต้องถูกนำตัวไปลงโทษสถานหนัก อาจถึงขั้นประหารชีวิตก็ได้ แต่ชายหนุ่มก็ไม่อาจตัดสินใจได้ เสียงฝีเท้าม้าดังใกล้เข้ามาทุกขณะ เจ้าหญิงซึ่งนั่งข้างหลังม้าจึงเปลี่ยนมานั่งข้างหน้าเสียเอง เธอเป็นผู้ถือบังเหียนม้าแล้วให้วิ่งลงมาจากหน้าผาทันที ทำให้ทั้งสองคนเสียชีวิต ณ ที่นั้น  แต่นั้นมาผาสูงนั้นก็ได้ชื่อว่า “ผาวิ่งชู้” และสิ่งต่าง ๆ ที่หล่นมาจากหน้าผารวมทั้งชื่อของคนทั้งสองก็เป็นชื่อเรียกแก่งหลาย ๆ แก่งในลำน้ำปิง เป็นที่ระลึกถึงความรักของคนทั้งสองซึ่งถือว่าความรักเป็นศาสนาอันบริสุทธิ์

 ข้อคิดที่ได้จากนิทานเรื่องนี้

     เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่ากล่าวถึงและเศร้าด้วย ใครไปที่นั่นต้องนึกถึงนิยายของหญิงชายคู่นี้ซึ่งรักกันแล้วต้องมาจบชีวิตที่ผานี้ คนยังไม่มีอิสระพอต้องถือตามประเพณีอย่างเคร่งครัด เมื่อฝ่าฝืนต้องมีโทษ ทำให้ขาดอิสรภาพในตัวเอง









  

 


                                                ๕.นิทานเรื่องลานนางคอย

         ถ้ำผานางเป็นถ้ำสวยงามอยู่ในจังหวัดแพร่ ปากถ้ำอยู่ภูเขาสูงจากพื้นดินประมาณ ๕๐ เมตร มีบันไดไต่เลียบเลี้ยววกขึ้นไปจนสุดทาง บันไดเป็นดินและหิน มีลานกว้างเป็นที่นั่งพัก ก่อนจะเข้าสู่ถ้ำด้านขวามือเป็นซอกเขา มีทางขึ้นไปไม่สูง ข้างบนมีลานหินเล็ก ๆ ซึ่งเป็นที่นั่ง เรียกกันว่า ลานนางคอย เรื่องถ้ำผานางและลานนางคอยมีอยู่ว่า ครั้นอาณาจักรแสนหวียังเจริญรุ่งเรือง เจ้าผู้ครองนครมีราชธิดาผู้สิริโฉมงดงามมาก นามว่านางอรัญญนี วันหนึ่งนางเสด็จประพาสโดยเรือพระที่นั่งเกิดมีพายุใหญ่พัดกระหน่ำมา ทำให้เรือพระที่นั่งพลิกคว่ำนางอรัญญนีพลัดตกลงในน้ำ ฝีพายหนุ่มคนหนึ่งได้กระโดลงไปช่วยชีวิตนางไว้ได้ ตั้งแต่นั้นมา ทั้งสองคนก็ได้ลอบติดต่อรักใคร่กันโดยปิดบังไม่ให้พระราชบิดาของนางล่วงรู้ จนนางอรัญญนีตั้งครรภ์ขึ้น พระราชบิดาของนางกริ้วมาก สั่งให้โบยนางและกักขังไว้ แต่คนรักของนางก็ได้ลอบเข้าไปหาถึงในที่คุมขัง และพานางหลบหนีไป เมื่อเจ้าครองนครทรงทราบก็สั่งให้ทหารออกติดตามคนทั้งสอง ทหารขี่ม้าทันทั้งสองคนที่ซอกเขาแห่งหนึ่ง และยิงธนูไปหมายจะเอาชีวิตชายหนุ่ม แต่ธนูพลาดไปถูกนางอรัญญนีได้รับบาดเจ็บสาหัส สามีของนางจึงพานางเข้าไปหลบซ่อนอยู่ในถ้ำ นางอรัญญนีรู้ตัวว่า คงไม่รอดชีวิต จึงขอร้องให้สามีหนีเอาตัวรอดโดยให้สัญญาว่าจะรออยู่ที่ถ้ำแห่งนี้ตลอดไป ชายหนุ่มจึงจำใจต้องจากไปตามคำขอร้องของนาง ส่วนนางอรัญญนีก็นั่งมองดูสามีควบม้าหนีห่างไปจนลับตา และสิ้นใจตายอยู่ในถ้ำแห่งนั้น ลานที่นางนั่งดูสามีควบม้าจากไปนั้น ต่อมาเรียกว่า ลานนางคอย ส่วนถ้ำแห่งนั้นก็ได้ชื่อว่า ถ้ำผานาง 

ข้อคิดที่ได้จากนิทานเรื่องนี้

     ความเสียสละคือคุณสมบัติที่ดีอย่างหนึ่งของคนรักกันดั่ง เช่น พระธิดาที่เสียสละให้สามีตนหนีไปไม่ต้องอยู่ดูแลตนและยังรอคอยสามีอยู่ที่ถ้ำแห่งนี้ด้วยหากปล่อยให้สามีอยู่ต่ออาจเสียชีวิตกันหมดนั่นเอง



บรรณานุกรม

นิรนาม. (ม.ป.ป.). นิทานพื้นบ้านภาคเหนือ (ออนไลน์)

https://culture55520936.wordpress.com/2015/03/01/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B8%AD/

(วันที่ค้นข้อมูล : : ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖)

******************************************************************************

            

    นิทานพื้นบ้านภาคใต้

ข้อมูลพื้นฐานของภาคใต้

           นิทานพื้นบ้านก็หมายถึงเรื่องเล่าจากความจำที่ฟังกันต่อๆกันมา อย่างเช่น จากบรรพบุรุษ ถ่ายทอดปากต่อปากสืบต่อถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน ความสำคัญของนิทานพื้นบ้านเล่ากันอยู่ในท้องที่ และภาคต่างๆ ของไทยมีหลายร้อยพันเรื่องในแต่ละท้องถิ่นก็จะมีนิทานประเภทต่างๆ นิทาน เหล่านี้นับเป็นเรื่องที่ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าให้ลูกหลานฟังมาหลายชั่วอายุคน จึงถือได้ว่าเป็นมรดกทาง วัฒนธรรมของชาวบ้านซึ่งมีความสำคัญดังนี้               

         รู้จักสังเกตจากการอธิบายลักษณะสิ่งต่างๆรอบตัว รู้ถึงการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้เสมือนการถ่ายทอดความรู้ให้การศึกษากับคนฟัง ประเภทของนิทานพื้นบ้าน หลักการก็ประเภท 14 ประเภท คือในประเภทต่างๆ ก็จะมี ตัวอย่างประกอบในแต่ละ

ประเพณีและวัฒนธรรมสำคัญของภาคใต้

          นิทานพื้นบ้าน นับเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ เนื่องจากเป็นเรื่องเล่าที่เล่าสืบต่อกันมาช้านาน ซึ่งถ่ายทอดสู่อนุชนรุ่นหลังด้วยมุขปาฐะ โดยในแต่ละท้องที่ของประเทศไทยต่างก็มีเรื่องเล่าและนิทานพื้นบ้านที่แตกต่างกันออกไป ตามแต่ลักษณะภูมิประเทศ วัฒนธรรม ธรรมเนียม และขนมธรรมเนียมประเพณี

           แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น นิทานพื้นบ้านก็มีจุดมุ่งหมายคล้าย ๆ กันนั่นคือ เพื่อเป็นการปลูกฝังและสั่งสอนคุณธรรมจริยธรรมให้แก่คนรุ่นหลัง นอกจากนี้ ยังรับรู้ถึงวัฒนธรรม ความเชื่อที่แฝงอยู่ในนิทานด้วยเช่นกัน

นิทานพื้นบ้านภาคใต้

                                             ๑.นิทานเรื่องเกาะหนูเกาะแมว

         นานมาแล้วมีพ่อค้าจีนคนหนึ่งคุมเรือสำเภาจากเมืองจีนมาค้าขายที่เมืองสงขลา เมื่อขายสินค้าหมดแล้ว จะซื้อสินค้าจากสงขลากลับไปเมืองจีนเป็นประจำ วันหนึ่งขณะที่เดินซื้อสินค้าอยู่นั้น พ่อค้าได้เห็นหมากับแมวคู่หนึ่งมีรูปร่างหน้าตาน่าเอ็นดู จึงขอซื้อพาลงเรือไปด้วย

       หมากับแมวเมื่ออยู่ในเรือนาน ๆ ก็เกิดความเบื่อหน่ายและอยากจะกลับไปอยู่บ้านที่สงขลา จึงปรึกษาหาวิธีการที่จะกลับบ้าน หมาได้บอกกับแมวว่าพ่อค้ามีดวงแก้ววิเศษที่ใครเกาะแล้วจะไม่จมน้ำ แมวจึงคิดที่จะได้แก้ววิเศษนั้นมาครอบครอง จึงไปข่มขู่หนูให้ขโมยให้และอนุญาตให้หนูหนีขึ้นฝั่งไปด้วย

        ครั้นเรือกลับมาที่สงขลาอีกครั้งหนึ่ง หนูก็เข้าไปลอบเข้าไปลักดวงแก้ววิเศษของพ่อค้าโดยอมไว้ในปาก แล้วทั้งสาม ได้แก่ หมา แมว และหนู หนีลงจากเรือว่ายน้ำจะไปขึ้นฝั่งที่หน้าเมืองสงขลา ขณะที่ว่ายน้ำมาด้วยกัน หนูซึ่งว่ายน้ำนำหน้ามาก่อนก็นึกขึ้นได้ว่าดวงแก้วที่ตนอมไว้ในปากนั้นมีค่ามหาศาล เมื่อถึงฝั่งหมากับแมวคงแย่งเอาไป จึงคิดที่จะหนีหมากับแมวขึ้นฝั่งไปตามลำพัง ดวงแก้วจะได้เป็นของตนเองแต่เพียงผู้เดียวตลอดไป แต่แมวที่ว่ายตามหลังมาก็คิดจะได้ดวงแก้วไว้ครอบครองเช่นกัน จึงว่ายน้ำตรงรี่เข้าไปหาหนู ฝ่ายหนูเห็นแมวตรงเข้ามาก็ตกใจกลัวแมวจะตะปบจึงว่ายหนีสุดแรงและไม่ทันระวังตัวดวงแก้ววิเศษที่อมไว้ในปากก็ตกลงจมหายไปในทะเล

      เมื่อดวงแก้ววิเศษจมน้ำไปทั้งหนูและแมวต่างหมดแรงไม่อาจว่ายน้ำต่อไปได้ สัตว์ทั้งสองจึงจมน้ำตายกลายเป็น "เกาะหนูเกาะแมว" อยู่ที่อ่าวหน้าเมืองสงขลา ส่วนหมาก็ตะเกียกตะกายว่ายน้ำไปจนถึงฝั่ง แต่ด้วยความเหน็ดเหนื่อยจึงขาดใจตายกลายเป็นหินเรียกว่า  "เขาตังกวน" เป็นภูเขาตั้งอยู่ริมอ่าวสงขลา ส่วนดวงแก้ววิเศษที่หล่นจากปากหนูก็แตกแหลก ละเอียดเป็นหาดทราย เรียกสถานที่นี้ว่า "หาดทรายแก้ว" ตั้งอยู่ทางเหนือของอ่าวสงขลา                                                                      




                                                     ๒. นิทานเรื่อง นายดั้น

          นายดั้น เป็นคนตาบอดใส อยากได้นางริ้งไรเป็นภรรยา จึงส่งคนไปสู่ขอและนัดวันแต่ง โดยฝ่ายนางริ้งไรไม่รู้ว่าตาบอด เมื่อถึงวันแต่งงานนายดั้นพยายามกลบเกลื่อนความพิการของตนโดยใช้สติปัญญาและไหวพริบต่าง ๆ แก้ปัญหา เมื่อขบวนขันหมากมาถึงบ้านเจ้าสาว เจ้าภาพขึ้นบนบ้าน นายดั้นกลับนั่งตรงนอกชาน เมื่อคนทักนายดั้นจึงแก้ตัวว่า “ขอน้ำสักน้อย ล้างตีนเรียบร้อย จึงค่อยคลาไคล ทำดมทำเช็ด เสร็จแล้วด้วยไว แล้วจึงขึ้นไป ยอไหว้ซ้ายขวา”

           ขณะอยู่กินกับนางริ้งไร วันหนึ่งนางริ้งไรจัดสำรับไว้ให้แล้วลงไปทอผ้าใต้ถุนบ้าน นายดั้นเข้าครัวหาข้าวกินเองทำข้าวหกเรี่ยราดลงใต้ถุนครัว นางริ้งไรร้องทักว่าเทข้าวทำไม นายดั้นจึงแก้ตัวว่า “เป็ดไก่เล็กน้อยบ้างง่อยบ้างเพลีย ตัวผู้ตัวเมีย ผอมไปสิ้นที่ อกเหมือนคมพร้า แต่เพียงเรามา มีขึ้นดิบดี หว่านลงทุกวัน ชิงกันอึ่งมี่ กลับว่าเรานี้ ขึ้งโกรธโกรธา”

           วันหนึ่งนางริ้งไรให้นายดั้นไปไถนา นายดั้นบังคับวัวไม่ได้ วัวหักแอกหักไถหนีเตลิดไป นายดั้นจึงเที่ยวตามวัว ได้ยินเสียงลมพัดใบไม้แห้งชายป่า เข้าใจว่าเป็นวัว จึงวิดน้ำเข้าใส่เพื่อให้วัวเชื่อง นางริ้งไรมาเห็นเข้าจึงถามว่าทำอะไร นายดั้นได้แก้ตัวว่า “พี่เดินไปตามวัว ปะรังแตนแล่นไม่ทัน จะเอาไฟหาไม่ไฟ วิดน้ำใส่ตายเหมือนกัน ครั้นแม่บินออกพลัน เอารังมันจมน้ำเสีย”

           อยู่มาวันหนึ่งนายดั้นจะกินหมาก แต่ในเชี่ยนหมากไม่มีปูน จึงร้องถามนางริ้งไร นางบอกที่วางปูนให้ แต่นายดั้นหาไม่พบ ได้ร้องถามอีกหลายครั้งแต่ก็ยังหาไม่พบ นายดั้นจึงร้องท้าให้นางริ้งไรขึ้นบ้านมาดู หากปูนมีตามที่บอก จะยอมให้นางริ้งไรเอาปูนมาทาขยี้ตา นางริ้งไรจึงเอาปูนมาทาขยี้ตานายดั้น นายดั้นถือโอกาสจึงร้องบอกว่าตาบอดเพราะปูนทา นางริ้งไรจึงต้องหายามารักษาจนตาหายบอดได้บวชเรียน



นิทานเรื่องนายดั้น ให้แนวคิดดังนี้

1. สะท้อนภาพของสังคมชนบทนครศรีธรรมราช ที่ชาวบ้านยึดถือความมีน้ำใจต่อกัน คอยช่วยเหลือกันโดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย

2.ลักษณะความเป็นอยู่ของชาวบ้านในชนบทที่เน้นความเรียบง่ายไม่มีพิธีรีตองให้ยุ่งยากถือเอาความสะดวกง่ายเป็นหลักมีการเล่นหัวหยอกล้อกันโดยไม่ถือสา

3. ผู้มีปัญหาและปฏิภาณไหวพริบดี จะเป็นผู้ที่สามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆได้สำเร็จแม้จะประกอบกิจการงานใดก็จะสำเร็จด้วยดี

 

  ๓. นิทานเรื่อง แก่นข้าว

          ในสมัยก่อนมนุษย์เราไม่รู้จักกินข้าว คงกินแต่รำข้าว เมื่อทำนาได้ข้าวก็จะฝัดเอาแต่รำมากินส่วนเมล็ดข้าวซึ่งเรียกว่า "แก่นข้าว" จะทิ้งเป็นกอง ๆ อยู่ทั่วไป ต่อมามีครอบครัวหนึ่งลูกเล็กคนหนึ่งไม่ยอมกินรำข้าว เมื่อพ่อแม่จะต้มรำข้าวให้กินเหมือนลูกคนอื่นทั่วไป เด็กคนนั้นจะไม่ยอมกินและร้องขึ้นทุกครั้ง จนพ่อแม่รู้สึกรำคาญจึงพูดประชดว่า "หมึงอีกินอ้ายไหรหา ร้อง ๆ เดี๋ยวกูต้มแก่นข้าวให้กินให้ตาย ๆ ไปเสียแหละ"

           พอพ่อแม่พูดเช่นนั้น ลูกคนนั้นก็หยุดร้อง แต่อยู่สักครู่ก็ร้องอีก พ่อแม่จึงพูดด้วยอารมณ์เสียอีกว่า "ทีนี้กูเอาแก่นข้าวมาต้มให้กินจริง ๆ แหละ ร้องไปตะ" ลูกคนนั้นก็หยุดร้องอีก พ่อแม่จึงไปเอาแก่นข้าวต้มให้กินจริงปรากฏว่า ลูกคนนั้นดีอกดีใจ กินข้าวได้มาก และเมื่ออิ่มก็นอนหลับ ฝ่ายพ่อแม่ตกใจมากนึกว่าลูกตายแล้ว เพราะกินแก่นข้าวซึ่งคนเขาไม่กินกันเข้าไปมาก พ่อแม่ก็ได้แต่ร้องห่มร้องไห้

           ฝ่ายลูกนอนหลับสักครู่ก็ตื่นขึ้นมายิ้มแล้วหัวเราะอย่างสุขใจ พ่อแม่เห็นเช่นนั้นก็ดีใจจึงต้มแก่นข้าวให้ลูกกินเรื่อยมา จนข่าวนี้ลือไปทั่ว คนจึงได้หันมากินแก่นข้าวแทนรำข้าวกันตั้งแต่มาจนทุกวันนี้

 


              

                                               ๔. นิทานเรื่องตำนานพระขวาง(ชุมพร)

              พระขวางเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยที่ประดิษฐานอยู่ในวัดพระขวาง ซึ่งเป็นวัดที่ตั้งอยู่ ณ ต.ขุนกระทิง อ.เมือง จ.ชุมพร ตำนานเล่าสืบต่อกันมาว่า พระพุทธรูปองค์นี้ลอยตามน้ำมาจากพม่าจนมาติดขวางอยู่หน้าวัดร้างแห่งนี้ ชาวบ้านจึงใช้เชือกลากเพื่อนำไปไว้ในวัดแต่ลากไม่ขึ้น ตกกลางคืนพระองค์นี้ได้เข้าฝันชาวบ้านว่าให้สร้างที่อยู่ให้เรียบร้อยและเอาสายสิญจน์เจ็ดเส้นพันรอบองค์พระแล้วจะขึ้นเอง

           วันรุ่งขึ้นจึงมีการปฏิบัติตามและสามารถนำพระขึ้นมาประดิษฐานได้ จึงมีการขนานนามพระพุทธรูปองค์นี้ว่า "พระขวาง" และเป็นที่มาของชื่อไว้ด้วยเมื่อพระขวางเป็นพระพุทธรูปประจำวัดแล้ว ปรากฏเหตุการณ์ประหลาดกล่าวคือ พระและสามเณรในวัดค่อย ๆ หายไปเรื่อย ๆ ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้แก่ชาวบ้านและพระภิกษุในวัดเป็นอย่างยิ่ง จนตกกลางคืนวันหนึ่งมีชาวบ้านแอบดูพระพุทธรูปองค์นี้และพบเห็นพระกินเด็กและสามเณร จึงนำความไปแจ้งต่อเจ้าอาวาสวัด เจ้าอาวาสจึงใช้ยันต์ปิดไว้และได้นำ "ปรอท" ซึ่งบรรจุอยู่ในองค์พระออก นับแต่นั้นเป็นต้นมาก็ไม่ปรากฏว่ามีใครหายไปอีกเลย

 

 


 

                        

๕.นิทานเรื่อง หมาป่ากับต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์(จ.ปัตตานี)

       นานมาแล้ว มีหมาป่าผอมโซตัวหนึ่ง ไปบนบานกับต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ขอเป็นวัวบ้านตัวอ้วนพี เมื่อกลายร่างเป็นวัวถูกชาวบ้านใช้ไถนา เกิดความเหนื่อยเมื่อยล้า จึงไปบนบานกับต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ว่าขอเป็นม้า แต่กลับถูกพระราชาผู้ครองนครสั่งให้ทหารจับตัวไปเป็นพาหนะ เกิดความเบื่อหน่ายอีก จึงไปบนบานกับต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ว่าขอเป็นพระราชาเสียเอง

           เมื่อได้เป็นพระราชาสมใจแล้วเขายังมีความต้องการเรือเดินทะเลขนาดใหญ่ จึงสั่งทหารให้ไปตัดต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เพื่อต่อเรือ ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์โกรธมากที่ทำคุณไม่ขึ้น จึงบอกให้ทหารไปตามพระราชามาตัดเอง เมื่อพระราชามาถึงต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ได้กล่าวตำหนิในความไม่ รู้จักพอ และสาปให้กลายร่างกลับเป็นหมาป่าผอมโซเช่นเดิม


  

                                                                               

บรรณานุกรม

         https://sites.google.com/site/phasathinti/nithan-phun-ban-phakh-ti/reuxng-keaa-hnu-keaa-maew

         https://sites.google.com/site/phasathinti/nithan-phun-ban-phakh-ti/reuxng-nay-dan

         https://sites.google.com/site/phasathinti/nithan-phun-ban-phakh-ti/reuxng-kaen-khaw

         https://sites.google.com/site/phasathinti/nithan-phun-ban-phakh-ti/reuxng-tanan-phra-khwang

         https://sites.google.com/site/phasathinti/nithan-phun-ban-phakh-ti/reuxng-hmapa-kab-tnmi-sakdisiththi

 

 

 

 

 

 

 

 

                                                                    

 

 

 

 

 

 








ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น